20 เมษายน 2555

การจัดการกับศาสนายิว คริสต์ และศาสนาบูชารูปปั้น ของรัฐอิสลาม




                                                 
         หลังจากปีแห่งการประกาศห้าม ลัทธิบูชารูปปั้นและการเปลือยกายมาทำพิธีแสวงบุญที่วิหารกะบะฮ์ บ้านแห่งพระเจ้าในเมืองมักกะฮ์ได้ผ่านไป มันได้ส่งผลที่ตามมาอีกมากมายต่ออิสลาม  ผู้ที่เปลี่ยนศาสนาหันมานับถือศาสนาอิสลามทั้งที่เดินทางมาด้วยตนเองและส่งตัวแทนมาเข้าพบท่านนบี(ศาสนทูต)มูฮัมหมัด (ขอพระเจ้าทรงประทานพรแด่ท่าน)เพื่อแสดงตัว
        ท่านนบี ได้แต่งตั้งกษัตริย์และผู้นำต่างๆ ของแคว้นและเผ่าต่างๆให้อยู่ในตำแหน่งเดิม อัลอัชอัษ บุตรของ กอยส์ ได้นำชนชั้นสูงที่เดินทางมาบนหลังม้า 80 คน พวกเขามาเพื่อแสดงตัวต่อท่านนบีและเที่ยวตามหาท่านจนพบในมัสยิด พวกเขาแต่งตัวโอ่อ่าสวยงามด้วยเสื้อคลุมผ้าไหมเป็นมันพริ้วไหว และแต่งหน้าแต่งตาตามแบบของพวกเขา เมื่อท่านนบีเห็นพวกเขาในสภาพเช่นนั้น ท่านได้ถามว่า
     “พวกท่านยังไม่ได้รับอิสลามอีกหรือ”
    พวกเขาตอบว่า
      “แน่นอนพวกเราได้รับอิสลามแล้ว”
     ท่านนบีกล่าวว่า
    “แล้วนั่นผ้าไหมอะไร อยู่รอบคอของท่านเล่า?”(หลักการอิสลาม ห้ามผู้ชายใส่ ผ้าไหมและทองคำ แต่ผู้หญิงใส่ได้)
       ในทันใดนั้นพวกเขาก็ฉีกผ้าไหมออกเป็นชิ้นๆ อัล อัชอัษ หัวหน้าคณะได้กล่าวขอโทษต่อท่านนบีว่า
 “โอ้ท่านนบีของพระเจ้า พวกเรานั้น เป็นชนชั้นผู้ดี บุตรของผู้ดี ท่านก็มาจากชนชั้นเหล่านั้นเช่นกัน ท่านคงจะเข้าใจนะว่า เราต้องมีเอกลักษณ์ของเราเองบ้าง”

        คนเหล่านี้เป็นชนชั้นปกครองแถบดินแดน หะเฏาะเราะฮ์เมาต์ เขตชายทะเล และเขตอื่นอีกหลายคน ท่านนบีได้ตั้งให้เขาอยู่ในตำแหน่งเดิมและและมอบหมายให้รวบรวมภาษีจากพลเมืองโดยรอบส่งมายังส่วนกลางของรัฐอิสลาม แม้พวกเขาจะลดรูปแบบของคนชั้นสูงลงเพื่อตามแบบฉบับอิสลาม แต่ความเย่อหยิ่งหลายอย่างในตัวของเขายังไม่หมดไป ท่านนบีได้ส่งมุอาวียะฮ์ บุตรของ  อบู ซุฟยาน ซึ่งเป็นมุสลิมมาก่อนและเป็นญาติท่านนบี ให้เดินทางไปบ้านของ วาอิล อิบนุ ฮุจร์ หนึ่งในผู้ร่วมคณะเดินทางนี้ เพื่อชี้แนะหลักการอิสลามอันถูกต้อง  วาอิล นั้นยังคงติดนิสัยที่แสดงความยิ่งใหญ่ที่ติดอยู่กับชนชั้นของตน เขาไม่ยอมให้ มุอาวียะฮ์ ขี่อูฐไปกับเขา และไม่ให้มุอาวียะฮ์ ยืมรองเท้าแตะของเขาใส่เพื่อป้องกันความร้อนจากพื้นทราย เพราะเขาคิดว่า เพียงแค่เงาอูฐที่เขาให้มูอาวียะฮ์อาศัยนั้นก็เป็นการเอื้อเฟื้อที่เพียงพอแล้ว แต่มุอาวียะฮ์ ก็อดทนต่อพฤติกรรมนี้ ทั้งๆที่เป็นการละเมิดกฎแห่งการเสมอภาคและภารดรภาพของอิสลาม เขานิ่งเฉยไว้ก็เพื่อช่วยให้ วาอิลและประชาชนของเขาได้รับศาสนาใหม่นี้เพื่อกาลข้างหน้า

            ส่วนในแถบเยเมน(ยะมัน)เมืองทางตอนใต้ของอารเบียนั้น เมืองนี้มีพื้นฐานจากศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวอยู่แล้ว คือศาสนายิว และต่อมาเมื่อศาสนาคริสต์เติบโตขึ้นชาวเมืองนี้ก็รับศาสนาคริสต์เข้าไปด้วยเช่นกัน เมื่อท่านนบีได้ประกาศศาสนาอิสลามโดยโครงสร้างของความรู้ของชาวยิวและคริสต์นั้นย่อมเข้าใจได้ว่า ศาสนาอิสลามนั้นก็เป็นสายศาสนาแบบเดียวกับ ยิวและคริสต์ที่สืบทอดมาจาก นบีอิบรอฮีม(อับราฮัม) ซึ่งมีนัยยะสำคัญคือการนับถือพระเจ้าองค์เดียว
      เมื่อศาสนาอิสลามได้ขยายเข้ามาสู่เมืองนี้ และผู้คนส่วนหนึ่งได้หันมานับถือศาสนาอิสลาม ท่านนบีได้ส่งมุอาซให้ไปสอนจริยธรรมและกฎเกณฑ์ของศาสนาน้องใหม่ในแถบนี้แก่เมืองเยเมน ท่านได้ย้ำกับมุอาซว่า
          “จงทำอะไรๆ ให้เรียบง่ายอย่าได้สร้างอุปสรรคใดๆขึ้น จงปรองดองอย่าทำตนให้แตกแยก ชาวคัมภีร์(หมายถึงยิวและคริสต์) จะถามท่านว่า “กุญแจเปิดทางไปสวรรค์คืออะไร”  จงตอบเถิดว่า  คือการเป็นพยานว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระเจ้าหนึ่งเดียวที่ไม่มีสิ่งใดเทียบเคียงและไม่มีภาคีใด”

    มุอาซ ได้ถูกส่งไปพร้อมกับมุสลิม แต่ดั้งเดิม และผู้เก็บภาษีอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่สั่งสอนประชาชนในเรื่องศาสนา การปกครอง และการพิพากษาคดีโดยใช้กฏหมายจากพระเจ้าและนบี(ศาสนทูต)ของพระองค์ ดังนั้นประชาชนจากทางใต้จรดทางเหนือของอารเบียจึงถูกรวมเข้าเป็นรัฐภายใต้ กฎหมายเดียวกัน แม้จะมีศาสนาต่างกัน แต่ก็มีการเสียภาษีแก่รัฐ ที่ให้การคุ้มครองแก่ทุกเมืองในระบบการปกครองเดียวกัน การปล้นสะดมกันเอง การปองร้ายต่อกันระหว่างเผ่าหรือหัวเมืองที่ครอบครองเขตแดนในยุคป่าเถื่อน ก่อนหน้านี้ก็กลายเป็นการอยู่ร่วมกันโดยสันติ ภายใต้ร่มเงาของระบบอิสลาม

     จากเหตุการณ์ที่ฉันได้เล่าผ่านมาในหลายฉบับก่อนๆนั้น น้องไลลาจะเห็นได้ว่า รัฐอิสราเอลตามที่พระเจ้าสัญญานั้นกว่าจะสถาปนาขึ้นมาได้นั้นต้องใช้เวลา หลายชั่วคนหลายร้อยปีโดยผ่านสายเลือดอิสราเอลหลายศาสดาในเชื้อสายนี้โดยผ่าน คัมภีร์เป็นภาษาฮิบรูว์หลายเล่ม ตั้งแต่ นบียะกู๊บ(ยาโคบหรืออิสราเอล) ผ่านนบียูซุฟ(โยเซฟ) นบีมูซา(โมเสส) โยชูวา(ยูซะฮบุตรของนูน) นบีซัมวิล(ซามูเอล) กษัตริย์ฏอลูต(ซอล) และนบีดาวูด(กษัตริย์ดาวิด)จึงก่อตั้งได้ และก็ล่มสลายไป

       ส่วนรัฐและระบบการปกครองของอิสลามนั้น เกิดขึ้นในเวลาเพียง 20  ปีเท่านั้น โดยผ่านนบีมูฮัมหมัดท่านเดียว  ในเชื้อสายอาหรับและผ่านคัมภีร์อัลกุรอานเล่มเดียวด้วยภาษาอาหรับ ที่อ้างอิงเรื่องราวต่างๆจากคัมภีร์ที่เป็นภาษาฮิบรูว์ของอิสราเอล และอาราเมอิค(ซีเรียโบราณ)ของนบีอีซา(พระเยซู)ซึ่งเป็นภาษาพูดของท่าน  แม้ว่าการรวบรวมแผ่นดินนี้จะมีทั้งความราบรื่นและยากลำบาก แต่ก็สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า ความสำเร็จของการสถาปนารัฐและระบบอิสลามนั้นสำเร็จลุล่วงทุกประการในยุคของท่านนั่นเอง

       แม้รัฐอิสลามจะล่มสลายในเวลาต่อมา แต่ความเป็นศาสนาของอิสลามนั้น ไม่เคยเสื่อมสลายไปเลย แต่กลับแผ่ขยายไปสู่ผู้คนทุกเผ่าพันธุ์และสีผิวอย่างเท่าเทียมกันอย่างต่อ เนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยมิได้จำกัดอยู่แต่เพียงเรื่องสายเลือดอาหรับ อย่างเช่นที่ชาวยิว และชาวโลกมักยกขึ้นมากล่าวอ้าง ในเรื่องของพระเจ้าของศาสนายิวและอาณาจักรอิสราเอลโบราณและประเทศอิสราเอล ปัจจุบัน

 

 http://www.oknation.net/blog/dragonball/2012/04/17/entry-1

‘ญี่ปุ่น’ทันตะวันตก แต่ไม่ทิ้งตะวันออก

บทความโดยอาจารย์บรรจง บินกาซัน ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน

 
ไทย ญี่ปุ่น และตุรกี เริ่มต้นความเป็นประเทศสมัยใหม่พร้อมกัน แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป เราปฏิเสธไม่ได้ว่าญี่ปุ่นพัฒนาไปไกลกว่า มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีมากกว่าชาติอื่นทั้งๆที่มี ทรัพยากรน้อยกว่า ได้รับภัยพิบัติธรรมชาติและหายนภัยจากสงครามมากกว่า
เพื่อน ของผมคนหนึ่งซึ่งไปมีครอบครัวที่นั่นเล่าให้ฟังว่า แม้ญี่ปุ่นมีทรัพยากรธรรมชาติไม่มากมายในประเทศ แต่ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของญี่ปุ่นคือคนญี่ปุ่น ดังนั้น ญี่ปุ่นจึงเน้นพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้วยการให้การศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาล
หลาย คนคิดว่าโรงเรียนอนุบาลญี่ปุ่นเป็นโรงเรียนหรูหรา มีอุปกรณ์เทคโนโลยีทันสมัยเป็นการเอาใจผู้ปกครองเพื่อดูดเงินเข้าโรงเรียน แต่ไม่ใช่เช่นนั้นเลย
โรงเรียนอนุบาลญี่ปุ่น ไม่ว่าของรัฐหรือของเอกชนมีห้องเรียนแบบเรียบง่าย มีเปียโน 1 หลัง โทรทัศน์ 1 เครื่อง และเครื่องบันทึกแบบกระเป๋าหิ้ว 1 เครื่อง ซึ่งดูไฮเทคหน่อยเท่านั้น ส่วนของเล่นเด็กมีเพียงกระดาษแข็ง กล่องบรรจุขนาดต่างๆ หนังสือพิมพ์ เชือกไนล่อน ตะเกียบไม้และสมุดจำนวนมากให้เด็กขีดเขียนหรือตัดแปะตามใจชอบ
ความ จริงแล้วนี่คือความฉลาดของนักการศึกษาญี่ปุ่นซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนา ศักยภาพของเด็ก ไม่ปล่อยให้เด็กเป็นทาสของ “ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป” และการสร้างสิ่งแวดล้อมให้เกิดพลังการแข่งขันโดยใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่ มีอยู่รอบข้างซึ่งจะทำให้เด็กรับประโยชน์ตลอดชีวิต
วันแรกที่คุณแม่พา คุณลูกไปรายงานตัว ทางโรงเรียนอนุบาลก็มอบหมายให้คุณแม่เตรียมกระเป๋ามากมายหลายขนาด มีทั้งกระเป๋าหนังสือ กระเป๋าใส่ไหมพรม กระเป๋าเครื่องครัว กระเป๋าเสื้อผ้า กระเป๋าเสื้อผ้าสำรอง กระเป๋าเสื้อผ้าใช้แล้วและกระเป๋ารองเท้า โดยกำหนดด้วยว่ากระเป๋าเหล่านี้ต้องสามารถใส่ซ้อนกันได้
สองปีผ่านไป เด็กญี่ปุ่นก็รู้จักแยกแยะการใช้กระเป๋าตามประเภท ด้วยเหตุนี้พอโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ชาวญี่ปุ่นจึงขยันแยกขยะตามประเภทโดยไม่รู้สึกรำคาญ พฤติกรรมของคนญี่ปุ่นจึงน่าจะเกี่ยวกับการอบรมตั้งแต่เด็ก
วันเปิด เรียน ผู้ปกครองไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายที่มาส่งเด็กต่างปล่อยให้เด็ก ถือกระเป๋าด้วยตนเอง แม้จะมีสัมภาระหนักอึ้ง เด็กอนุบาลเหล่านี้ก็ยังวิ่งฉิวเพราะพลังเต็มร้อย
โรงเรียนอนุบาลมี เครื่องแบบตามฤดูกาลและกิจกรรม คลอดทั้งปีเด็กอนุบาลญี่ปุ่นต้องใส่เสื้อสวมหัว สวมหมวก เมื่อไปถึงโรงเรียน เด็กจะเปลี่ยนเสื้อและรองเท้าตามกิจกรรม ที่ใส่มาจากบ้านมาใส่เสื้อเล่น หลังจากนอนพักกลางวัน ตื่นขึ้นมาต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่
แต่ละวัน เด็กอนุบาลญี่ปุ่นต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหลายครั้ง ทั้งคุณแม่และคุณครูจะยืนดูห่างๆโดยไม่ช่วยเหลือ ทั้งนี้เพื่อเป็นการฝึกให้เด็กรู้จักดำเนินชีวิตด้วยตนเองตั้งแต่อายุ 2-3 ขวบ ให้ฝึกทั้งเปลี่ยนเสื้อผ้า เก็บคู่มือ ติดสติกเกอร์ แขวนผ้าเช็ดหน้า เป็นต้น เป็นการบ่มนิสัยการทำงานเป็นระเบียบ
เด็กๆในโรงเรียนอนุบาล ญี่ปุ่นได้รับการฝึกร่างกายให้ทนกับความหนาวในฤดูหนาวด้วยการถอดเสื้อวิ่ง เล่น พ่อแม่ไม่ให้เด็กใส่เสื้ออบอุ่นเพื่อให้เด็กมีร่างกายแข็งแรง จิตใจทรหด
โรงเรียนอนุบาลดูเหมือนไม่เน้นการสอนความรู้ เด็กๆไม่มีตำรา มีแต่สมุดวาดเขียนเดือนละเล่ม ตารางเรียนไม่มีวิชาคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษหรือวิชาดนตรี ถ้าถามว่าสอนอะไร คำตอบที่ได้คือ “สอนเด็กให้รู้จักยิ้มหยีๆ” ในญี่ปุ่น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน “ยิ้ม” ถือว่าสำคัญยิ่ง เด็กผู้หญิงที่ยิ้มเป็นถือว่าสวยที่สุด นอกจากนี้โรงเรียนอนุบาลญี่ปุ่นยังสอนให้รู้จัก “ขอบคุณ”
อย่างไรก็ ตาม 3 ปีในโรงเรียนอนุบาล พบว่าเด็กญี่ปุ่นมีความก้าวหน้าในด้านดนตรี วิจิตรศิลป์และการอ่านเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นผลมาจากรูปแบบการศึกษาองค์รวม
โรงเรียน อนุบาลญี่ปุ่นมีกิจกรรมให้เด็กมากมายจนคุณแม่ต้องกาเครื่องหมายบนปฏิทิน เพื่อเตือนให้ทำปิ่นโตสำหรับลูกของตัวเอง เพราะตลอดปีมีรายการปิกนิก ไต่เขา เที่ยวทะเลสาบ ชมสวนสัตว์และสวนพฤกษชาตินับครั้งไม่ถ้วน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆอีกมากมายก่ายกอง เช่น ทำขนมโก๋ในเทศกาล แข่งกีฬา งานแสดงเพื่อชุมชน ออกค่ายพักแรม จัดนิทรรศการ นมัสการที่วัดวาอารามต่างๆ
ก่อนถึงวันเกิดเด็ก ครูจะติดต่อกับพ่อแม่เด็ก ถามที่มาของชื่อเด็กและขอยืมรูปถ่ายของเด็กตั้งแต่แรกเกิดเพื่อจัดแสดงใน ชั้นเรียน และขอให้คุณแม่เขียนข้อความเล่าเรื่องตอนเด็กเกิดใหม่ เพื่อนำไปอ่านหน้าห้อง ทั้งนี้เพื่อให้เด็กเรียนรู้ความเป็นมาของชีวิต ตระหนักถึงความยากลำบากตั้งแต่เกิดจนเติบโต รู้จักยินดีและขอบคุณในชีวิต ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าเมื่อรู้จักให้เกียรติแก่ชีวิตตั้งแต่เด็ก โตขึ้นจะไม่ค่อยมีพฤติกรรมนอกลู่นอกทาง
นอกจากนี้แล้วโรงเรียนอนุบาล ญี่ปุ่นยังฝึกซ้อมการป้องกันภัยแผ่นดินไหวและอัคคีภัยซึ่งเป็นหายนภัยสำคัญ ให้เด็กด้วย ในการฝึก เด็กจะสวมหมวกกันสะเทือนซึ่งทนไฟและหนักมาก ฝึกให้รู้จักวิ่งหนีอย่างชาญฉลาดโดยหลบหลีกท่อแก๊สและมุ่งไปหาที่โล่งแจ้ง
จึง ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมคนญี่ปุ่นจึงเป็นคนที่มีระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบสูง และถึงแม้จะเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับตะวันตก แต่ญี่ปุ่นก็ยังคงรักษาความเป็นตะวันออกไว้ได้

ก่อน“ยึดวอลล์สตรีท”

บทความโดยอาจารย์บรรจง บินกาซัน ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน


ในอดีต ถ้าใครมีแสนยานุภาพทางทหารที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร คนผู้นั้นก็สามารถยึดครองทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างสะดวกง่ายดาย
แต่ ในปัจจุบัน ถ้าใครมีเงิน คนผู้นั้นก็สามารถครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างได้ ยิ่งถ้าใครสามารถสร้างเงินขึ้นมาได้เอง คนผู้นั้นก็ยิ่งมีอำนาจมากขึ้นในการยึดครอง
นั่น คือเหตุผลที่ว่า ทำไมทุกประเทศจึงไม่ให้อำนาจการพิมพ์ธนบัตรตกอยู่ในอำนาจของเอกชน เพราะถ้าเอกชนสามารถพิมพ์เงินเองได้ เอกชนก็สามารถยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากประชาชนได้ หากเป็นเช่นนั้น ประเทศและประชาชนก็จะได้รับความเสียหาย
ด้วยเหตุนี้ธนาคารกลางของทุกประเทศจึงอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาล
แต่ในสหรัฐอเมริกามิได้เป็นเช่นนั้น ชาวอเมริกันจึงประสบความเดือดร้อนจนต้องออกมาประท้วง “ยึดวอลล์สตรีท” กันทั่วประเทศในขณะนี้
ธนาคาร เฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ หรือธนาคารกลางของสหรัฐ ที่ตั้งขึ้นมาตามกฎหมายเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ ค.ศ. 1912 ในสมัยของประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน มิได้เป็นหน่วยงานของรัฐบาลแต่ประการใด หากแต่เป็นบรรษัทการเงินขนาดใหญ่โดยผู้ถือหุ้นเป็นนายธนาคารสากลที่ทรง อิทธิพลจากบางประเทศในยุโรป
หลัก ฐานทางประวัติศาสตร์เปิดเผยว่า กฎหมายเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟเป็นผลงานชิ้นแรกของนายวูดโรว์ วิลสัน เมื่อเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐเพื่อตอบแทนกลุ่มนายธนาคารที่สนับ สนุนเขาให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดี
ธนาคาร เฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ ได้รับอำนาจในการพิมพ์ธนบัตรโดยมีเงื่อนไขว่า ต้องพิมพ์โดยมีทองคำสำรองหนุนหลังเพื่อให้ธนบัตรดอลลาร์ดำรงมูลค่าที่แท้ จริง มิใช่เป็นแค่เศษกระดาษ
ไม่ เพียงเท่านั้น ในฐานะเป็นธนาคารกลาง ธนาคารเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟยังเป็นแหล่งรักษาเงินสำรองของธนาคารต่างทั่วประเทศด้วย ใครที่เรียนการเงินการธนาคารมาก็รู้ว่าธนาคารมีความสามารถในการสร้างเงิน ปล่อยกู้จากเงินฝากได้มากมายหลายเท่าจากเงินฝากที่มีอยู่ และจากกระบวนการปล่อยกู้โดยคิดดอกเบี้ย เพียงไม่กี่ปี ธนาคารก็จะกำไรและเติบโตขยายตัวแผ่อิทธิพลเข้าไปยังภาคธุรกิจและการเมือง เหมือนปลาหมึกยักษ์ที่ใช้หนวดของมันจับเหยื่อ
ธุรกิจ ของธนาคารเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟคือการปล่อยเงินกู้เพื่อหากำไรจากดอกเบี้ยเหมือนกับธนาคารทั่วไป แต่ลูกค้าสำคัญของธนาคารเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟคือรัฐบาลที่อาศัยภาษีของประชาชนเป็นรายได้มาบริหารประเทศ ถ้าเก็บภาษีไม่พอหรือไม่ทันต่อค่าใช้จ่าย รัฐบาลก็จะกู้จากธนาคารเฟดเดอรัลโดยการออกพันธบัตรขายให้แก่ธนาคาร หลังจากนั้นรัฐบาลก็จะเก็บภาษีจากประชาชนมาจ่ายดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารเฟดเด อรัล รีเสิร์ฟ
หลัง สงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐอเมริกาไม่ได้รับความบอบช้ำจากสงคราม จึงมีโอกาสพัฒนาประเทศเป็นมหาอำนาจได้เร็วกว่าชาติอื่น รัฐบาลสหรัฐทุกสมัยได้รับการกระตุ้นให้สนับสนุนอภิมหาโครงการที่ต้องใช้เงิน จำนวนมหาศาล เช่น โครงการสำรวจอวกาศ การขยายอำนาจทางทหารด้วยการรุกรานชาติต่างๆ เช่น เวียดนาม เพื่อเป็นการกระตุ้นอุตสาหกรรมอาวุธ การสร้างความขัดแย้งระหว่างประเทศต่างๆเพื่อให้ประเทศเหล่านั้นซื้ออาวุธจาก สหรัฐ และการสนับสนุนรัฐบาลอิสราเอลให้เป็นปมปัญหาความขัดแย้งต่อไปไม่สิ้นสุด เป็นต้น
ยิ่ง รัฐบาลสหรัฐเร่งใช้จ่ายและกู้เงินจากธนาคารเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟมากเท่าใด รัฐบาลสหรัฐก็ยิ่งเป็นหนี้มากขึ้น นี่คือสาเหตุที่ทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของนายธนาคาร แต่คนที่ต้องตกเป็นทาสสร้างความมั่งคั่งให้แก่นายธนาคารที่แท้จริงคือ ประชาชนที่ต้องจ่ายภาษีไปเป็นดอกเบี้ย
เมื่อ นายจอห์น เอฟ.เคนเนดี้ เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในต้นปี ค.ศ. 1961 เขาได้เตรียมประกาศคำสั่งห้ามธนาคารเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟคิดดอกเบี้ยเงินกู้จากรัฐบาลสหรัฐ แต่คำสั่งดังกล่าวยังไม่ทันได้ประกาศ เขาก็ถูกลอบสังหารเสียก่อน และคำสั่งที่เขาเตรียมไว้ก็มิได้ถูกนำมาประกาศใช้
ใน ค.ศ. 1972 ธนาคารเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ ได้ยกเลิกการใช้ทองคำสำรองในการพิมพ์ธนบัตร นั่นหมายความว่านายธนาคารเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ สามารถจะพิมพ์เงินออกมาจำนวนเท่าใดก็ได้นั่นเอง เงินดอลลาร์จึงเสื่อมค่าลงจนหลายชาติรังเกียจที่จะรับ
ค.ศ. 2007 สหรัฐประสบภาวะวิกฤตทางการเงินที่คนไทยเรียกว่า “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์” เพราะสถาบันการเงินแข่งกันปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูง (ซับไพรม์) ซึ่งทำให้ธนาคารเอกชนของสหรัฐบนถนนวอลล์สตรีทขาดทุนล้มระเนระนาด ในขณะที่ผู้บริหารธนาคารรับโบนัสก้อนโต แต่รัฐบาลสหรัฐกลับเอาเงินภาษีของประชาชนไปอุ้มธนาคารเหล่านี้โดยตัดงบ สวัสดิการที่รัฐบาลเคยให้แก่ประชาชน มิหนำซ้ำยังสร้างภาระให้แก่ประชาชนด้วยการขยายเพดานเงินกู้ให้คนอเมริกัน แบกรับภาระกันหลังแอ่นต่อไปอีกชั่วลูกชั่วหลาน
ที่ กล่าวมาคือเหตุผลเบื้องหลังของการประท้วงการดำเนินธุรกิจอย่างละโมบของนาย ธนาคารทั้งหลายซึ่งเรียกกันว่า “ยึดวอลล์สตรีท” ในสหรัฐ และกำลังขยายตัวไปตามรัฐต่างๆอยู่ในขณะนี้

 http://www.oknation.net/blog/knowislam/2011/12/29/entry-1

พระเยซูตามความเชื่อของอิสลาม

(พระเยซูถูกตรึงกางเขนเรื่องจริงหรือโกหก)
บทความโดยอาจารย์บรรจง บินกาซัน ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน
ถึง แม้มุสลิมและชาวคริสเตียนจะมีความเชื่อในนบีอีซาหรือพระเยซูเหมือนกันแต่ใน ความเชื่อในนบีคนเดียวกันนี้มุสลิมและชาวคริสเตียนก็ยังมีความเชื่อที่แตก ต่างกันเกี่ยวกับตัวท่านตั้งแต่เรื่องการเกิดจนกระทั่งวาระสุดท้ายของท่านบน โลกนี้
ในเรื่องของการเกิด ชาว คริสเตียนเชื่อว่าพระเยซูเกิดมาโดยมีพ่อแม่เหมือนกับมนุษย์ทั่วไป แต่ถือว่าท่านเป็นบุตรของพระเจ้าและบางกลุ่มก็เชื่อว่าวิญญาณของท่านเป็น วิญญาณของพระเจ้าที่มาสถิตในร่างของมนุษย์และอธิษฐานต่อท่านส่วนมุสลิมเชื่อ ว่านบีอีซามีกำเนิดอันมหัศจรรย์จากนางมัรยัมหญิงพรหมจรรย์โดยที่ไม่ได้แต่ง งานกับผู้ใดทั้งนี้เพื่อเป็นสัญญาณแสดงถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺซึ่ง พวกบนีอิสรออีลท้าทายมาโดยตลอดแต่หลักความเชื่อของอิสลามถือว่าถึงแม้ท่านจะ มีกำเนิดอันมหัศจรรย์เช่นนั้นท่านก็เป็นเพียงบ่าวของอัลลอฮฺและมิได้เป็น บุตรของพระเจ้า
ส่วนในเรื่องการถูกตรึงกางเขนนั้น ชาว คริสเตียนทั่วไปถือว่าพระเยซูเสียชีวิตโดยการถูกตรึงบนไม้กางเขนและการเสีย ชีวิตของท่านเป็นการไถ่บาปให้แก่มนุษย์ทั่วโลกที่มีบาปติดตัวมาตั้งแต่ กำเนิดในขณะที่มุสลิมเชื่อว่านบีอีซาไม่ได้ถูกตรึงและเสียชีวิตบนไม้กางเขน หากแต่มีใครบางคนที่มีหน้าตาเหมือนท่านถูกนำตัวไปตรึงกางเขนแทน หลังจากนั้นท่านได้ถูกพระผู้เป็นเจ้านำตัวกลับไปและจะกลับมาใหม่อีกครั้ง หนึ่งก่อนวันสิ้นโลก
หลักฐานที่มุสลิมนำมาใช้อ้างก็คือข้อความจากคัมภีร์กุรอานที่กล่าวไว้ดังนี้ :
?และ พวกเขา(บนีอิสรออีล)กล่าวว่า ?เราได้ฆ่ามะซีฮฺอีซาลูกของมัรยัมรอซูลของอัลลอฮฺแล้ว? แต่ในความจริงพวกเขาไม่ได้ฆ่าและไม่ได้ตรึงเขาบนไม้กางเขน แต่ว่าพวกเขาได้ถูกทำให้มองเห็นละม้ายคล้ายคลึงเช่นนั้น บรรดาผู้ที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็มีข้อสงสัยในเรื่องนี้ แต่พวกเขาไม่มีความรู้อะไรนอกจากจะอาศัยการเดา เพราะพวกเขาไม่แน่ใจว่าพวกเขาประสบผลสำเร็จในการฆ่าอีซา ไม่เลย ความจริงก็คือ อัลลอฮฺได้ทรงเทิดเขาขึ้นไปยังพระองค์ เพราะอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอำนาจยิ่ง ผู้ทรงปรีชาญาณเสมอ? (กุรอาน 4:157-158)
ดัง นั้น จากคำยืนยันของอัลลอฮฺในคัมภีร์กุรอาน การตรึงกางเขนนบีอีซาหรือพระเยซูจึงไม่ได้เกิดขึ้นและท่านก็ไม่ได้เสียชีวิต บนไม้กางเขน ในคัมภีร์ไบเบิลพันธสัญญาใหม่ฉบับลูกาก็ถูกบันทึกไว้ว่า :
แล้ว พระองค์ (พระเยซู)ดำเนินไปจากพวกเขาไกลประมาณขว้างหินตกและทรงคุกเข่าลงอธิษฐานว่า ?พระบิดาเจ้าข้า ถ้าพระองค์พอพระทัย ขอให้ถ้วยนี้(หมายถึงความตาย)เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิดแต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เถิด? ทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาปรากฏแก่พระองค์ช่วยชูกำลังพระองค์....? (ลูกา 22 : 41-43)
นัก วิชาการมุสลิมหลายคนอย่างเช่นอิบนุตัยมียะฮฺได้กล่าวว่านบีอีซาได้วิงวอนต่อ พระเจ้าให้เลื่อนถ้วยแห่งความตายออกไปจากท่าน ดังนั้นอัลลอฮฺในฐานะผู้ทรงรักและผู้ทรงปกป้องนบีของพระองค์จึงได้ตอบรับคำ วิงวอนและความต้องการของท่าน
พระองค์ ได้ทรงช่วยท่านให้พ้นจากความเจ็บปวดและความตายบนไม้กางเขนโดยการส่งทูต สวรรค์มาช่วยทำให้ท่านมีความเข้มแข็ง (กล่าวคือ เพื่อช่วยเหลือท่านและให้หลักประกันว่าอัลลอฮฺจะช่วยชีวิตท่าน) หลังจากนั้น บรรดาทูตสวรรค์ก็ได้นำตัวท่านไปจากบรรดาผู้ที่พยายามจะฆ่าท่าน อย่างไรก็ตามฝูงชนที่แห่กันมาดูการตรึงกางเขนก็เกิดความสับสนและบางคนก็คิด ว่าพวกทหารโรมันได้ฆ่าพระเยซูไปแล้ว แต่ตามคัมภีร์กุรอานอัลลอฮฺได้ทรงบอกให้เราทราบว่านบีอีซาไม่ได้เสียชีวิต หรือแม้แต่จะถูกตรึงบนไม้กางเขน
แม้ แต่ในหมู่สาวกยุคแรกของพระเยซูก็มีหลายกลุ่มที่เชื่อว่าพระเยซูได้ถูกช่วย ให้พ้นจากความตายบนไม้กางเขนเช่นกัน คนเหล่านั้นไม่เชื่อด้วยว่าท่านถูกตรึงกางเขน อย่างไรก็ตาม ความเชื่อเรื่องการถูกตรึงกางเขน(พร้อมกับความเชื่อเรื่องการไถ่บาป)ได้ ค่อยๆกลายเป็นหลักความเชื่อสำคัญของศาสนาคริสต์ไปในที่สุดและคริสตจักรก็ได้ ตำหนิความเชื่อที่ต่างไปจากนี้ แต่คัมภีร์กุรอานยังคงยืนยันว่าพระเยซูไม่ได้ถูกตรึงบนไม้กางเขนอีกทั้งยืน ยันว่าท่านเป็นมนุษย์และเป็นศาสนทูตผู้ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
เนื่อง จากนบีอีซามิได้เสียชีวิตบนไม้กางเขนและท่านได้ถูกพระผู้เป็นเจ้านำตัว ท่านกลับไปในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ดังหลักฐานจากคัมภีร์กุรอานดังกล่าวข้าง ต้น ดังนั้น จึงไม่มีใครรู้เรื่องราวของท่านอีกเลยหลังจากนั้น อย่างไรก็ตามจากคำบอกเล่าของอบูฮุร็อยเราะฮฺ ท่านนบีมุฮัมมัดได้กล่าวว่า ?ขอสาบานด้วยผู้ที่กำชีวิตของข้าพระองค์ไว้ แน่นอน ลูกของมัรยัมจะลงมาในหมู่พวกท่านในฐานะผู้ตัดสินที่ยุติธรรมและเขาจะหักไม้ กางเขนจะฆ่าหมูและจะยกเลิกญิซยะฮฺ(ภาษีที่รัฐอิสลามเรียกเก็บจากผู้ที่มิใช่ มุสลิมในรัฐอิสลาม)และความมั่งคั่งจะเกิดขึ้นจนไม่มีผู้ใดยอมรับมันจน กระทั่งการก้มกราบเพียงครั้งเดียวจะดีกว่าโลกและทุกสิ่งที่อยู่ในนั้น? (บันทึกโดยบุคอรี)
จาก ฮะดีษดังกล่าวข้างต้นบอกให้เรารู้ว่าก่อนถึงวันสิ้นโลกนบีอีซาจะกลับมาอีก ครั้งหนึ่งในฐานะผู้ตัดสินที่ยุติธรรมระหว่างสัจธรรมกับความเท็จ การหักไม้กางเขน การฆ่าหมูและอื่นๆนั้นหมายความว่าท่านจะมาแก้ไขความเชื่อผิดเกี่ยวกับท่าน และคำสอนของท่านในบรรดาสาวกของท่าน หลังจากนั้นผู้คนที่หลงผิดก็จะปฏิบัติตามท่านซึ่งจะทำให้สาวกของท่านและสาวก ของท่านนบีมุฮัมมัดรวมกันเป็นประชาชาติเดียวกัน นี่คือวัตถุประสงค์ในการกลับมาของนบีอีซา
บทความโดยอาจารย์บรรจง  บินกาซัน  ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม  มูลนิธิสันติชน

การลวงโลกของมนุษย์พิลท์ดาวน์


บทความโดยอาจารย์บรรจง บินกาซัน ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน

ภาพหัวกระโหลกมนุษย์พิลท์ดาวน์
มนุษย์ และสัตว์ต่างมีสมองเหมือนกัน แต่สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ก็คือ มนุษย์มีสติปัญญาที่เป็นพลังของสมองในขณะที่สมองของสัตว์ไม่มีพลังสติปัญญา
เพราะ สติปัญญานี่เองที่ทำให้มนุษย์ตั้งคำถามกันมานานแล้วว่า มนุษย์มีต้นกำเนิดมาจากไหน? มนุษย์มายังโลกนี้ได้อย่างไร? มนุษย์มีสถานภาพอะไรในโลกนี้? และคำถามอื่นๆในทำนองนี้อีกมากมาย
แต่ คำถามประเภทนี้เกิดขึ้นน้อยนักในสมองของผู้นับถือศาสนาที่มาจากพระเจ้า เช่น ศาสนายูดาย ศาสนาคริสต์และอิสลาม เพราะคำสอนของศาสนาเหล่านี้ให้คำตอบตรงกันว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา และพระองค์ทรงส่งมนุษย์มายังโลกนี้เพื่อรับใช้พระองค์ หลังจากตาย มนุษย์จะต้องกลับไปตอบพระองค์ว่าตัวเองทำอะไรไว้ในขณะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
โลกของผู้ศรัทธาในพระเจ้าจึงไม่เสียเวลาไปกับการค้นหาหลักฐานมาแย้งกับความจริงดังกล่าวข้างต้น
แต่ เมื่อโลกเข้าสู่ยุควิทยาศาสตร์ที่มนุษย์หันหลังให้คำสอนของศาสนาและหันมา นับถือวิทยาศาสตร์แทน นักวิทยาศาสตร์ที่คนยุคใหม่นับถือเหมือนศาสดาพยายามจะหาทางลบล้างคำสอนของ ศาสนาด้วยการสันนิษฐานว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิง

ภาพหนังสือเรื่อง “The Origin of Species”
ภาพชาล์ ดาร์วิน

การสันนิษฐานนี้ได้กลายเป็นทฤษฎีวิวัฒนาการขึ้นมาเมื่อชาร์ลส ดาร์วิน เขียนหนังสือเรื่อง “The Origin of Species” (ต้นกำเนิดเผ่าพันธุ์) ออกมาหลังจากที่เขาสู้อุตส่าห์เดินทางไกลและใช้เวลายาวนานเพื่อหาคำตอบ เรื่องที่มาของมนุษย์ หลังจากนั้นทฤษฎีของเขาได้ถูกนำไปเผยแพร่และสอนในสถาบันการศึกษาต่างๆทั่ว โลก
แม้ทฤษฎี ของเขามีคนสนับสนุนมากมายจนถึงกับมีการทำวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกนับร้อย ฉบับ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานมาสนับสนุนว่าเป็นความจริง ข้อโต้แย้งสำคัญต่อทฤษฎีของเขาคือ ถ้าหากว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิง อย่างน้อยที่สุดจะต้องมีซากโครงกระดูกที่เป็นช่วงต่อระหว่างลิงกับมนุษย์ เป็นหลักฐาน
เพื่อที่จะตอบคำถามที่ท้าทายนี้ หลักฐานเท็จเรื่องการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์พิลท์ดาวน์จึงถูกสร้างขึ้น
ใน ค.ศ. 1912 มีการพบหัวกะโหลกมนุษย์ที่มีกรามเหมือนกรามของลิงขนาดใหญ่ที่เมือง พิลท์ดาวน์ในอังกฤษ โดยนักสะสมของเก่าคนหนึ่งชื่อชาร์ลส์ ดอว์สัน หลังจากนั้นข่าวการค้นพบของเขาก็แพร่ออกไปทั่วโลกว่าหัวกะโหลกนั้นเป็น “ช่วงต่อระหว่างลิงกับมนุษย์” และเป็น “ชาวอังกฤษยุคแรกที่สุด”
ภาพพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติอังกฤษ

ต่อ มาหัวกะโหลกมนุษย์พิลท์ดาวน์ได้ถูกนำไปตั้งแสดงในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ ทางธรรมชาติของอังกฤษเพื่อแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของมนุษย์จนกระทั่ง ค.ศ. 1953
กะโหลก มนุษย์พิลท์ดาวน์นี้สร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นอย่างมาก แต่ทฤษฎีของชาร์ลส ดาร์วิน ไม่เพียงแต่พูดถึงวิวัฒนาการเพียงอย่างเดียวเท่านั้น มันยังพูดถึงการคัดเลือกตามธรรมชาติที่ผู้แข็งแรงกว่าเท่านั้นที่อยู่รอด ด้วย เมื่อทฤษฎีของเขาถูกนำมาใช้ในทางธุรกิจโดยเฉพาะในระบบทุนนิยม มันส่งเสริมคนให้สร้างธุรกิจขนาดใหญ่เพื่อทำลายธุรกิจที่เล็กกว่าและ อ่อนแอกว่า เมื่อถูกนำมาใช้ในการเมือง มันส่งเสริมให้รัฐบาลสร้างอำนาจบาตร ใหญ่เพื่อทำลายชาติเล็กที่อ่อนแอกว่า และทำให้มนุษย์มองเห็นว่าการที่ผู้อ่อนแอถูกรังแกจนล้มหายตายจากไปนั้นเป็น เรื่องธรรมชาติ
อย่าง ไรก็ตาม ความเท็จไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ตลอดไปเหมือนความจริง เมื่อวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้า ประดิษฐกรรมและการค้นพบทางวิทยาศาสตร์นั่นเองที่พิสูจน์ว่า กะโหลกมนุษย์พิลท์ดาวน์เป็นหลักฐานเท็จที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยการเอาหัวกะโหลก ของมนุษย์กับกรามของลิงอุรังอุตังมาประกอบเข้าด้วยกันอย่างแนบเนียน
การ พิสูจน์ด้วยวิธีการที่เรียกว่า “ฟลูออไรด์เทสต์” ทำให้นักวิทยาศาสตร์พบว่า ความสามารถในการดูดซึมน้ำยาของกะโหลกส่วนบนกับกระดูกกรามมีความแตกต่างกัน อย่างเห็นได้ชัด นักวิทยาศาสตร์จึงยืนยันว่ากะโหลกส่วนบนและกระดูกกรามส่วนล่างเป็นของสิ่งมี ชีวิตคนละเผ่าพันธุ์กัน
เท่า นั้นเองพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติของอังกฤษจึงหน้าแตกและต้องยกเอา กะโหลกมนุษย์พิลท์ดาวน์ออกไปจากที่ตั้งแสดงอย่างฉับพลันทันที
หลัง จากสอบสวนหาต้นตอผู้สร้างเรื่องเท็จนี้ขึ้นมาเป็นเวลา 40 ปี เจ้าหน้าที่สอบสวนพบว่า เรื่องกะโหลกมนุษย์พิลท์ดาวน์นี้เกิดขึ้นจากเจ้าหน้าที่ภายในพิพิธภัณฑ์คน หนึ่งซึ่งไม่พอใจเพื่อนร่วมงานด้วยกัน จึงสร้างเรื่องเท็จขึ้นมาเพื่อกลั่นแกล้ง แต่เมื่อพบความจริง พิพิธภัณฑ์ก็ไม่สามารถเอาผิดใครได้ เพราะผู้เป็นสาเหตุของเรื่องได้เสียชีวิตไปหมดแล้ว จะขุดเอาหัวกะโหลกของคนต้นเหตุมาตั้งแทนก็จะเป็นการประจานพิพิธภัณฑ์ไปเสีย เอง
ปัจจุบัน การสร้างเรื่องเท็จลวงโลกเช่นนี้ยังมีอยู่ในรูปแบบต่างๆเพื่อนำมาใช้เป็น เหตุผลทางการเมือง เช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวหกล้านคนโดยฮิตเลอร์ การสะสมอาวุธทำลายร้ายแรงของซัดดัม ฮุสเซน การถล่มตึกเวิลด์เทรดของกลุ่มอัลกออิด๊ะฮฺ การพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน เป็นต้น

http://www.oknation.net/blog/knowislam/2012/03/20/entry-1

3 จว.ชายแดนใต้ : กับข้อเสนอใหม่ “ปัตตานีมหานคร”



โดย ชาญวิทยา ชัยกูล

              สำนักข่าวอะลามี่: ความรุนแรงที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ บอกให้รู้เป็นนัยว่าการกลับมาอีกครั้งของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดน ภาคใต้ (ศอ.บต.) ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการแก้ปัญหา
             ขณะที่ข้อเสนอให้รวมเอา จังหวัดปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส เข้าด้วยกัน ภายใต้ชื่อนครปัตตานี ถูกนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกมายืนยันว่ารัฐบาลนี้ไม่สนับสนุน ขณะที่แนวคิดภายใต้การขับเคลื่อนขององค์กรภาคประชาชนและนักวิชาการบางคนที่ ชูประเด็น “จังหวัดจัดการตนเอง” เริ่มมีความชัดเจนและน่าสนใจยิ่ง
               "จังหวัดจัดการตนเอง" คือแนวคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองแบบ "รวมศูนย์อำนาจ" อันเป็นต้นตอของความขัดแย้งทางการเมืองของขั้วอำนาจต่าง ๆ ก่อให้เกิดการพัฒนาแบบกระจุกตัว สร้างความเลื่อมล้ำต่อการพัฒนาเมืองและชนบท จึงต้องมอบอำนาจการบริหารจัดการพื้นที่ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มากกว่าที่เป็นอยู่ โดยปรับลดบทบาทของราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาคลงไปให้มากที่สุด และหันไปส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนาและการบริหาร งานท้องถิ่นของตนเองได้อย่างมีอิสระ ในลักษณะที่คล้ายคลึงกับ กรุงเทพมหานคร และ เมืองพัทยา
              แนวคิดนี้ถูกจุดประกายขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ก็ ยังได้ให้สนใจต่อข้อเสนอเรื่องจังหวัดจัดการตนเองเป็นอย่างมาก เพราะเห็นว่าสอดคล้องกับทิศทางการกระจายอำนาจและสามารถจะนำไปใช้เป็นกลไกใน การแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สงบลงได้ โดยพุ่งเป้าไปที่ยังจังหวัดปัตตานี เนื่องจากมีประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ที่เป็นของตนเองอย่างชัดเจน โดยนอกจากจะต้องเข้าไปรับปรุงโครงสร้างบางส่วนของ ศอ.บต.แล้ว อาจจะต้องยกฐานะจังหวัดปัตตานีให้เป็นจังหวัดจัดการตนเองในรูปแบบเมืองพิเศษ ซึ่งประชาชนในพื้นที่มีอำนาจในการปกครองตนเองมากขึ้น
            “ไม่มีใครแก้ปัญหาของท้องถิ่นได้ดีกว่าตัวของคนในท้องถิ่นเอง และไม่มีการปกครองใดที่ดีและยิ่งใหญ่กว่าการปกครองตนเองของประชาชน ผมเห็นด้วยกับการกระจายอำนาจ การสร้างมหานครในพื้นที่ๆ เหมาะสม เพราะจะเป็นตัวชี้วัดให้เห็นว่าการปกครองของประเทศไทยเป็นการปกครองที่ไม่ ใช่การรวมศูนย์ แต่เป็นการปกครองแบบกระจายอำนาจ ซึ่งข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปในเรื่องการกระจายอำนาจก็เป็นแนวทางที่ดีอีก แนวทางหนึ่ง” มท.1 กล่าว

           ด้าน ดร.วณี ปิ่นประทีป รองผู้อำนวยการสำนักงานปฏิรูป กล่าวว่า คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปกำลังรณรงค์ให้ผู้คนในจังหวัดต่างๆ เตรียมการในการขับเคลื่อนการปฏิรูปในระดับจังหวัด โดยการจัดสัมมนาระดมความคิดเห็นขึ้นในแต่ละภาคทั่วประเทศ โดยแต่ละจังหวัดจะเลือกเรื่องประเด็นที่คิดว่าคนในจังหวัดนั้นๆ เห็นตรงกันมากที่สุดมาดำเนินการ พร้อมทั้งเสนอแนวทางแก้ไขปัญหากันเองโดยใช้ประชาสังคมเข้าขับเคลื่อน หากมีปัญหาใดที่ยากเกินกว่าที่จะแก้ไขก็ให้ร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น หากประเด็นใดจำเป็นที่จะต้องไปแก้ไขกฎหมายก็ให้เสนอไปที่คณะกรรมการสมัชชา ปฏิรูป เพื่อทำเป็นข้อเสนอจากสมัชชาส่งไปถึงรัฐบาล
          “เวลานี้ได้มีบางกลุ่มเสนอให้จัดตั้งจังหวัดปัตตานี เป็นเขตปกครองพิเศษ เพื่อแก้ปัญหาไฟใต้ ซึ่งในรายละเอียดที่เสนอนี้ เขาใช้คำว่า ปัตตานีมหานคร โดยจะรวมเอา 3 จังหวัด คือ ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส กับ 2 อำเภอของจังหวัดสงขลาเข้ามาด้วย แต่แนวคิดนี้ในเชิงปฏิบัติ คิดว่ายังมีประเด็นปัญหาอยู่มาก หากจะให้เป็นเมืองพิเศษอย่างกรุงเทพมหานครหรือพัทยา ก็อาจจะเลือกที่จังหวัดใดจังหวัดหนึ่งมาทำก่อน เช่น จังหวัดปัตตานี ยะลา หรือจังหวัดนราธิวาส อันนี้มีความเป็นไปได้ เพราะแต่ละจังหวัดมีพื้นฐานและอัตลักษณ์ที่แตกต่างกัน”
           ดร.วณี กล่าวอีกว่าแนวคิดนี้จะสอดคล้องกับข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปเรื่องการ ปฏิรูปโครงสร้างอำนาจที่เสนอให้ปรับลดบทบาทของราชการส่วนภูมิภาคให้เป็นกลไก เชิงวิชาการ เชิงประสานนโยบายและตรวจสอบติดตาม โดยให้มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเหลือแค่ 2 ระดับ คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัดและเทศบาล ซึ่งเรื่องการปกครองพิเศษของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ควรจะต้องมีเวทีในการระดมความคิดเพื่อหารายละเอียดที่ชัดเจนมากกว่านี้
           “ขณะนี้อาจารย์หมอประเวศ ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปได้แต่งตั้งคณะกรรมการจัดสมัชชาปฏิรูปเฉพาะ ประเด็น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นมาคณะหนึ่ง เพื่อรวบรวมว่า เรื่องของ 3 จังหวัดชายแดนภาตใต้มีคนเสนอทางเลือกเอาไว้กี่ทางเลือก แล้วเอาประเด็นต่างๆ มาพิจารณาร่วมกันว่ามีข้อดี ข้อเสียอย่างไร และควรจะใช้รูปแบบไหน แล้วจะต้องเอาข้อเสนอต่างๆ เหล่านี้ไปรับฟังความคิดเห็นของภาคประชาชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เขามีทางเลือกว่า ถ้าเขาจะเลือกแบบนี้ต้องเสียอะไรและได้ประโยชน์อะไรบ้าง”
           ทั้งนี้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้มี คนเสียชีวิตไป 4,000 กว่าคน มีคนที่ต้องกำพร้า หญิงหม้าย และคนบาดเจ็บอีกนับหมื่น โดยยังไม่รู้จะไปสิ้นสุดเมื่อไหร่ ?!
           ดร.วณี กล่าวว่า ในการประชุมสมัชชาปฏิรูปของพื้นที่จังหวัดภาคใต้ 14 จังหวัด ซึ่งจะจัดขึ้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีในวันที่ 3-4 ตุลาคมนี้ ได้มีข้อตกลงร่วมกันแล้วว่า 3 จังหวัดชายแดนใต้จะต้องมาพูดคุยกันในเรื่องการแก้ไขปัญหาของจังหวัดชายแดน ภาคใต้ โดยกำหนดไว้ 3 ประเด็น คือ 1. เรื่องยุติธรรมสมานฉันท์ 2. เรื่องของจังหวัดจัดการตนเอง 3. เรื่องของความหลากหลายทางวัฒนธรรม
            “ขณะนี้ชาวบ้านถูกจับคุมคุมขังทั้งตัวจริง ตัวปลอม ปนกันไปหมด เราต้องคืนความยุติธรรมให้แก่ประชาชนเหล่านั้น รวมถึงการเยียวยาผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว เนื่องจากหลายคนหัวหน้าครอบครัวเสียชีวิต ผู้อยู่เบื้องหลังต้องอยู่อย่างยากลำบาก ฉะนั้นเรื่องของการเยียวยาเป็นเรื่องที่จำเป็น ส่วนเรื่องจังหวัดจัดการตัวเองจะเป็นประเด็นที่ให้แต่ละจังหวัดต้องกลับไป คิด จังหวัดปัตตานีจะตกลงเอาหรือไม่ ถ้าต้องไปรวมกับจังหวัดอื่นอีก 2 จังหวัด โดยมี อ.สะบ้าย้อย กับ อ.นาทวี จังหวัดสงขลามาร่วมด้วย จังหวัดยะลาคุณอยากจะเลือกทิศทางนี้หรือไม่ เพราะยะลาก็มีอัตลักษณ์ของคุณเอง นราธิวาสก็เช่นเดียวกัน ประเด็นเหล่านี้ประชาชนในพื้นที่ต้องหาทางออกร่วมกัน” ดร.วณี ปิ่นประทีปกล่าว
           ด้าน นายถวิล ไพรสณฑ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ออกมาสนับสนุนแนวคิดจังหวัดปกครองตนเอง เพื่อแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่นายถวิลเสนอว่ายังไม่จำเป็นที่จะต้องจัดตั้งเป็นเขตปกครองพิเศษที่รวมเอา ยะลา นราธิวาสและปัตตานีเข้าด้วยกัน เพียงแต่ไปแก้กฎหมายองค์การบริหารส่วนจังหวัด ให้อบจ.มีอำนาจและมอบหมายงานในภารกิจต่างๆ ให้มากขึ้น ตามสภาพปัญหาของพื้นที่จังหวัดนั้นๆ ในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับความมั่นคง ซึ่งเป็นไปตามมิติของคณะกรรมการกระจายอำนาจที่ระบุว่าต้องถ่ายโอนและมอบ ภารกิจ 425 ภารกิจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
          “นอกจากการให้อำนาจกับอบจ.ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เพิ่มเติมแล้ว ยังสามารถให้อำนาจกับอบจ.บางจังหวัดที่มีลักษณะพิเศษได้อีกด้วย เพื่อให้เป็นจังหวัดจัดการตัวเอง แต่ก็ต้องมาพิจารณาให้ชัดเจนว่าตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดพิเศษเหล่านี้จะ ยกเลิกไปเลยเช่นเดียวกับกรุงเทพมหานครหรือไม่ ซึ่งจะต้องศึกษาให้รอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจ” นายถวิล ไพรสณฑ์ กล่าว

 http://www.thealami.com

"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"กับนโยบายแก้ปัญหาไฟใต้ที่เคยสัญญาไว้


     ผมเห็นว่าคมลัมน์นี้มีประโยชน์เลยขออนุญาติเอามาลง อีกอย่างเห็นว่างานเขียนของอาจารย์ท่านนี้เป็นกลางดี ไม่เอนเอียงไปทางพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง


อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บิน ชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยทักษิณ ,ผู้ช่วยผู้จัดการโรงเรียนจริยธรรมศึกษามูลนิธิ
Shukur2004@chaiyo.com; http://www.oknation.net/blog/shukur


             ยังจำภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีใส่ผ้าคลุมผมสีแดง อุ้มเด็กและแวดล้อมด้วยสตรีมลายูมุสลิมชายแดนใต้ และคณะ อาทิ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค เพื่อไทย   พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายนิติภูมิ นวรัตน์ เดินทางไปหาเสียงที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นครั้งแรก
             พร้อมกับประกาศนโยบายให้จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเขตปกครองท้องถิ่นพิเศษ คล้ายกับกรุงเทพฯหรือเมืองพัทยา ที่สำคัญ พรรคเพื่อไทยจะไม่เน้นเรื่องความรุนแรง จะใช้วิธีพูดคุย ส่งเสริมและพัฒนามากกว่า
           แต่ผลการเลือกตั้งปรากฏว่าคนของพรรคเพื่อไทยไม่ผ่านการเลือกตั้งแม้แต่คน เดียวในสนามการเลือกตั้งภาคใต้  ทำให้เกิดวาทกรรม ว่า พรรคเพื่อไทย ไม่ชอบธรรมที่จะนำนโยบายเขตปกครองท้องถิ่นพิเศษ มาใช้เป็นนโยบาย  การเมืองนำการทหารโดยเฉพาะถูกต่อต้าน จากฝ่ายความมั่นคง ข้าราชการและพรรคอนุรักษ์นิยมอย่างประชาธิปัตย์
          สำหรับผู้เขียนมองว่า หาก พรรคเพื่อไทย ไม่ชอบธรรม ที่จะนำนโยบายการกระจายอำนาจดังกล่าว มาใช้ในภาคใต้ที่เคยสัญญาไว้    พรรคเพื่อไทย ก็ไม่ชอบธรรมในทุกนโยบายที่จะมาใช้ในภาคใต้เช่นกัน  ไม่ว่าจะเป็น เงินเดือนปริญญาตรี  1,5000 บาท  ค่าแรงงานขั้นต่ำเริ่มที่ 300 บาทต่อวัน    ข้าวเปลือกขาวเกวียน 15,000 บาท ข้าวหอมมะลิเกวียนละ 20,000 บาทและอื่นๆ
          เพียงแต่ การเดินหน้านำนโยบาย การกระจายอำนาจที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมท้องถิ่นดังกล่าว ควรให้ทุกภาคส่วนในพื้นที่ มีส่วนร่วมในการนำเสนอโมเดล(รูปแบบ) การปกครองก่อนการประกาศใช้เป็นกฎหมายแต่ก็ควรกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนด้วย เช่นกัน
          ในขณะที่การบริหารภายใต้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ บต) ที่ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์คุยนัก คุยหนา ว่าเป็นการกระจายอำนาจให้คนพื้นที่มีอำนาจในการร่วมคิด ร่วมทำ  ร่วมเสนอ  ร่วมอนุมัติจากคนในพื้นที่ ก็ให้ดำเนินต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลง   

           สำหรับรูปแบบการปกครองท้องถิ่นในรูปแบบพิเศษดังกล่าว รัฐบาลควรนำองค์ความรู้มาศึกษาวิเคราะห์และใช้ประโยชน์จากนักวิชาการที่ได้ ศึกษาในโมเดลต่างๆ
           โดยเฉพาะร่างของคณะทำงานการศึกษาการปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษในจังหวัดชาย แดนภาคใต้ภายใต้รัฐธรรมนูญไทย  ภายใต้ความร่วมมือของ เครือข่ายประชาสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้ 23 องค์กร/ เครือข่ายการเมืองภาคพลเมืองเพื่อท้องถิ่น/ ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้/ สถาบันวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี/ คณะกรรมการภาคประชาสังคม สภาพัฒนาการเมือง/ สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า ......เพราะร่างดังกล่าวผ่านกระบวนการทางวิชาการและการลงพื้้นที่กว่าห้าสิบเวทีในจังหวัดชายแดนภาคใต้
                อันจะเป็นการสร้างความชอบธรรมยิ่งขึ้นต่อรัฐบาลในการนำนโยบายมาใช้หากเกิด ความผิดพลาดประชาชนในพื้นที่จะช่วยเป็นเกราะกำบังให้กับรัฐบาล
              ขณะเดียวกันการอธิบายให้กับคนภายนอกจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เข้าใจว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ใช่การแบ่งแยกดินแดน แต่เป็นการกระจายอำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญ หรืออยู่ภายแนวคิด “ท้องถิ่นดูแลตัวเอง” ก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
             อันเนื่องมาจาก แนวคิด “ท้องถิ่นดูแลตัวเอง” ไม่ใช่การปฏิเสธอำนาจรัฐ และไม่ใช่ก้าวแรกของการแบ่งแยกดินแดน การให้ท้องถิ่นดูแล หรือปกครองตนเองนั้น หมายถึง การให้ประชาชนในท้องถิ่นมีอำนาจในการดำเนินกิจการของท้องถิ่นให้เป็นไปตาม ความต้องการของท้องถิ่นอย่างแท้จริง ซึ่งทำให้แต่ละท้องถิ่นสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ โดยที่สามารถ “ออกแบบบ้านของตัวเอง” ได้บนผืนแผ่นดินไทยแห่งนี้
            เพราะหัวใจของประชาธิปไตย คือ การที่ประชาชนได้ปกครองตนเอง (Self Government) มิใช่เป็นเพียงผู้ถูกปกครองเท่านั้น
            การจะหวนกลับคืนสู่สาระสำคัญของ ความเป็นประชาธิปไตย เพื่อมิให้อำนาจของประชาชนมีเพียง 4 วินาทีใน 4 ปีที่คูหาเลือกตั้งนั้น จึงจำเป็นต้องผลักดันให้ประชาชนในท้องถิ่นมีบทบาทในการปกครองตนเองมากขึ้น
           ซึ่งแนวคิดการปกครองตนเองนี้มิได้ปฏิเสธนักการเมืองหรือสภาผู้แทนราษฎร หากแต่โจทย์สำคัญคือทำอย่างไรที่จะให้คนในท้องถิ่นมีโอกาสเข้ามาทำงานการ เมืองมากขึ้น ได้มีส่วนร่วมคิดร่วมทำในการดูแลบ้านเมืองของตนเองให้มากขึ้น มิใช่ทำหน้าที่เพียงเป็นผู้รอรับบริการหรือรอคอยความช่วยเหลือจากรัฐบาลเท่า นั้น ซึ่งถือเป็นการเปิดพื้นที่ทางการเมือง อันมีความหมายรวมถึงการมีอำนาจในการต่อรองและการตัดสินใจเพื่อให้คนในท้อง ถิ่นสามารถกำหนดวิถีชีวิตของตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านการบริหารปกครอง การศึกษา วัฒนธรรม การสาธารณสุข หรือการพัฒนาชุมชน      
            ที่สำคัญหลักการปกครองตนเองได้ถูกประกาศไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 อย่างชัดเจนในมาตรา 281 ว่า ....
“ภาย ใต้บังคับมาตรา 1 รัฐจะต้องให้ความเป็นอิสระแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามหลักแห่งการปกครอง ตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น และส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำบริการ สาธารณะ และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาในพื้นที ท้องถิ่นใดมีลักษณะที่จะปกครองตนเองได้ ย่อมมีสิทธิจัดตั้งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ”
            ทั้งนี้ ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญนั้น ระบุให้รัฐต้องส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมและมีอิสระในการดำเนินการให้ เป็นไปตามความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นภายใต้หลักบูรณภาพแห่งดินแดนอัน แบ่งแยกไม่ได้ โดยราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาคจะต้องไม่แทรกแซงการบริหารกิจการขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น กล่าวคือ รัฐจะต้องกระจายอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบ อำนาจการตัดสินใจ และอำนาจการบริหารจัดการให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และปรับลดบทบาท ตลอดจนลดการกำกับดูแลของราชการบริหารส่วนกลางและส่วนภูมิภาคลง เพื่อให้เป็นไปตามหลักความเป็นอิสระขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยจะคงไว้ก็แต่กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง การพิจารณาพิพากษาคดี การต่างประเทศ และการเงินการคลังของประเทศโดยรวมเท่านั้น
             ในทางปฏิบัติ รัฐจะต้องจัดให้มีกฎหมายกำหนดอำนาจหน้าที่ระหว่างราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยคำนึงถึงการกระจายอำนาจหน้าที่ให้แก่ท้องถิ่นเพิ่มขึ้น และลดความซ้ำซ้อนและขัดแย้งระหว่างส่วนต่างๆ ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้อง “ก้าวให้พ้นไปจากการควบคุมกำกับ ไปสู่ความร่วมมือที่เท่าเทียมกัน ต้องเปลี่ยนความสัมพันธ์แนวตั้งระหว่างรัฐและภูมิภาคที่อยู่ในฐานะควบคุม กำกับ สั่งการ มาเป็นความสัมพันธ์แบบพันธสัญญาที่มีความเท่าเทียมกันในแนวนอนแทน โดยจะต้องแก้กฎหมาย กฎระเบียบใหม่”
              โดยกฎหมายที่ให้อำนาจแก่ราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาคในการกำกับดูแลองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องทำเท่าที่จำเป็นเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนใน ท้องถิ่นและของประเทศชาติ แต่จะกระทบต่อสาระสำคัญแห่งการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น ไม่ได้ ซึ่งหากขัดต่อหลักการปกครองตนเอง รัฐก็จะต้องแก้ไขปรับปรุงกฎหมายดังกล่าว อีกทั้งระบุว่าหลักเกณฑ์ของการกำกับดูแลควรต้องสอดคล้องและเหมาะสมกับองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นที่แตกต่างกันในหลายรูปแบบ เพื่อให้แต่ละองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถเลือกไปปฏิบัติเองตามความเหมาะ สม
              หรือ การกระจายอำนาจในจังหวัดชายแดนภาคใต้ดังกล่าว  ควรทำไปพร้อมกับจังหวัดจัดการตนเองอื่นๆที่พร้อมอย่างเช่นเชียงใหม่มหานคร ที่กำลังเรียกร้องอยู่เช่นกัน 
              ท้ายนี้ขอเป็นกำลังใจในแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาค ใต้อย่างบริสุทธิใจของรัฐบาลใหม่ และขอให้ทุกคนสุขสรรค์ในเดือนรอมฎอนและวันตรุษอิดิลฟิตร์ ของชาวมุสลิมทุกท่าน

 http://www.thealami.com

สัมภาษณ์พิเศษ: นายวันซำซูดิน ดินวันฮูเซ็น ประชมรมต้มยำกุ้งมาเลเซีย



      ผมก็คนหนึ่งแหละที่ไม่ชอบความไม่ชอบธรรมหรือการสร้างข่าวของคนบางคนเพื่อหวังแต่ประโยชน์ของตัวเอง ผมจึงขออนุญาติจากสำนักข่าวอลามีเพื่อเป็นอีกทางหนึ่งเพื่อกระจายข่าวปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นอย่างน้อยขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้สังคมน่าอยู่ยิ่งขึ้น


             สำนักข่าวอะลามี่ : ประธานชมรมต้มยำกุ้งในประเทศมาเลเซีย โวยหลังการเมืองและสื่อในประเทศไทยนำ เรื่องการเข้าพบกับ ศอ.บต.ไปขยายจนตกเป็นข่าวว่า เป็นแกนนำพูโล  ขอความเห็นใจรัฐบาลไทยช่วยทำความเข้าใจ หวั่นทางการมาเลเซีย เล่นงาน

             เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 9 เม.ย. นายวันซำซูดิน ดินวันฮูเซ็น ประธานชมรมต้มยำกุ้ง ในประเทศมาเลเซีย ให้สัมภาษณ์หลังจากที่ นักการเมือง และสื่อ ในประเทศไทยหลายแขนง ได้ลงข่าวว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้พบปะกับแกนนำขบวนการพูโล ที่ประเทศมาเลเซีย และนำเอารูปและชื่อของตนไปเขียนว่าเป็น นายซำซูงดิง คาน  ได้ทำให้มีผลกระทบกับตนเองและชาวมุสลิม ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่อยู่ในชมรมต้มยำกุ้งอย่างมาก
               เนื่องจากทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าตนเป็นแกนนำพูโล และชมรมต้มยำกุ้งเป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดน  ทำให้ถูก สันติบาล ในประเทศมาเลเซีย จับตา และติดตามความเคลื่อนไหว ซึ่งอาจจะส่งผลให้รัฐบาลมาเลเซีย ไม่ไว้วางใจ และ ผลักดันให้คนจำนวนหนึ่ง ที่เข้าไปทำงานเป็นลูกจ้างในร้านต้มยำกุ้งออกจากประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และอาชีพของคนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
               " ชมรมต้มยำกุ้ง เกิดขึ้นกว่า 20 ปี เป็นการรวมตัวของคนมุสลิมใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทั้งในเรื่องการทำงาน ในเรื่องเงินทุน และ การอยู่อาศัยในประเทศมาเลเซีย ซึ่งยอมรับว่ามีแรงงานในร้านต้มยำกุ้งส่วนหนึ่ง ไม่มีใบอนุญาตในการทำงาน เป็นแรงงานเถื่อน ที่ถือหนังสือเข้าประเทศในรูปแบบทัวร์ริส และ ในรูปแบบ บอเดอร์พาส คือไปเยี่ยมญาติ ต้องมีการจ๊อบหนังสือเดินทางเข้า-ออก ทุกเดือน การก่อตั้งเป็นชมรม จึงเป็นการช่วยเหลือแรงงานใน 5 จังหวัด ให้อยู่ได้อย่างปลอดภัย ซึ่งไม่มีเรื่องของการก่อการร้ายอย่างที่เป็นข่าว"นายวันซำซูดิน กล่าวและว่า
              ปัจจุบันเฉพาะในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซีย เพียงแห่งเดียว มีร้านต้มยำกุ้งของคนไทยจำนวน 5,000 กว่าร้าน ซึ่งแต่ละร้านมีแรงงานหรือ ลูกจ้าง ที่เป็นคนใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำงานอยู่ 20-30 คน  เฉพาะที่นี่ทีเดียวมาแรงงานไทยกว่า 100,000 คน ถ้ารวมร้านต้มยำกุ้ง และแรงงานไทยทั้ง 13 รัฐ  มีแรงงานจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ทำงานอยู่กว่า 200,000 คน มีรายได้คนละ 8,000-20.000 บาทต่อเดือน ซึ่งเงินเหล่านี้ ส่วนหนึ่งส่งไปให้ครอบครัวที่อยู่ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้
             ดังนั้นหากประเทศมาเลเซีย ทำการเข้มงวด กวาดล้างแรงงานที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายแรงงาน และ หวาดระแวงว่าชมรมต้มยำกุ้งเป็นภัยและสร้างปัญหาระหว่างประเทศจะมีผลกระทบกับ แรงงานไทยในทันที
             " ที่ผ่านมาหน่วยงานของรัฐไทย ไม่เคยให้ความสำคัญกับแรงงานไทยในร้านต้มยำกุ้ง ทั้งที่แรงงานเหล่านี้ส่งเงินกลับประเทศปีละหลายร้อยล้านบาท ยกเว้นก่อนจะมีการเลือกตั้ง ก็จะมี ผู้สมัครและพรรคการเมือง เข้าไปพบปะ และกล่าวว่าจะมีนโยบายในการแก้ปัญหาแรงงาน แต่ขอให้กลับมาลงคะแนนเลือกตั้ง หลังจากเลือกตั้งเสร็จ ก็ไม่มีการทำตามคำพูด" นายวันซำซูดิน กล่าว
             ดังนั้นเมื่อมีการประสานงานจาก เจ้าหน้าที่รัฐว่า ศอ.บต. มีนโยบายในการช่วยเหลือ แรงงานไทยที่อยู่ในชมรมฯ ทั้งในเรื่องทำให้แรงงานเป็นแรงงานที่ถูกต้อง และหาเงินกู้ในการลงทุน ตนเองจึงยินดีที่จะมาพบกับคณะของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ทั้งที่ กรรมการในชมรมรุ่นเก่าๆได้เตือนว่า อย่ายุ่งกับเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะมีแต่จะเดือดร้อน แต่ตนเองเห็นว่า  ศอ.บต.มีเจตนาดี จึงยอมมาพูดคุยด้วย แต่สุดท้าย ตนเองและชมรมต้มยำกุ้ง ต้องกลายเป็น”แพะ”
               นายวันซำซูดิน กล่าวอีกว่า แต่เมื่อเกิดความเดือดร้อนขึ้น ในชมรมทุกคนก็กล่าวหาว่า ตนเองเป็นคนผิด ที่เตือนแล้วไม่เชื่อ ซึ่งขณะนี้ตนเดือดร้อนมาก จึงอยากให้ทุกฝ่าย เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทั้งนี้ตนชื่อ วันชำซูดิง ดินวันฮูเซ็น คน จ.ยะลา เดินทางมาประกอบอาชีพร้านต้มยำกุ้ง 25 ปีแล้ว และยืนยันว่าเป็นคนละคนกับ  ซำซูงดิง คาน อีกทั้งยืนยันว่า ชมรมต้มยำกุ้ง ไม่ใช่เป็นชมรมของกลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่อยู่ในประเทศมาเลเซีย แต่เป็นชมรมที่คนไทย ที่นับถือศาสนาอิสลาม หรือ มุสลิม ตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือกัน จึงต้องการให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน
             นอกจากนี้ขอให้หน่วยงานของรัฐบาลไทย ทำความเข้าใจกับประเทศมาเลเซียในเรื่องที่เกิดขึ้น อย่าให้ความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทย ต้องทำให้ คนกว่า 200,000 คน ในประเทศมาเลเซียต้องได้รับเคราะห์ไปด้วย เพราะแรงงานเหล่านี้ ส่งเงินที่ได้จากประเทศมาเลเซีย ให้กับครอบครัวในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปีละกว่า 300 ล้านบาท ถ้าพวกเขาเดือดร้อน ครอบครัวของเขาต้องเดือดร้อนด้วย
 : ไชยยงค์ มณีพิลึก รายงาน

13 เมษายน 2555

ฝ่ายการศึกษา กอท. จัดสอบชิงทุนม.อัลอัซฮัร

     นายอับดุลเลาะ แอนดริส ประธานฝ่ายการศึกษาของกอท. และนายวุฒิวัย หวังบู่ นายกสมาคมนักเรียนเก่าอาหรับร่วมกันจัดสอบชิงทุนของม.อัลอัซฮัรจำนวน 80 ทุนโดยเริ่มทำการสอบตั้งแต่วันที่19 - 22 มีนาคม 2555 ณ ที่ทำการสมาคมนักเรียนเก่าอาหรับ (โรงเรียนซิกรอ) ต.ไทรน้อย อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี โดยมี Mr.Hatim Alnussar ที่ปรึกษาฝ่ายการศึกษาของสถานเอกอัคราชฑูตอียิปต์ เป็นประธานพิธีเปิด 
      ในปีนี้มีโรงเรียนจาก 13 จังหวัด ที่ได้รับการรับรองวิทยฐานะจาก ม.อัลอัซฮัร จำนวน 80 โรงเรียน ซึ่งได้ส่งนักเรียนเข้าสอบชิงทุนจำนวน 202 คน นักเรียนชาย 116 คน นักเรียนหญิง 86 คน โดยมีคณาจารย์จาก ม.อัลอัซฮัร จำนวน 5 ท่าน เป็นผู้ดำเนินการสอบ และทำการคัดเลือกนักเรียนจำนวน 80 คน เพื่อส่งไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ณ มหาวิทยาลัยอัลอัซฮัรประเทศอียิปต์ ในปีการศึกษา พ.ศ. 2555 / คศ.2012 ต่อไป    
       เป็นทีน่ายินดีที่ทางผู้เกี่ยวข้องได้ทำการประกาศผลการสอบหลังจากสอบเสร็จไม่กี่อาทิตย์สร้างความมั่นใจและภูมิใจในหน่วยงานที่จัดการสอบในครั้งนี้โดยอาจเป็นผลจากการที่ตัวแทนกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาสได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดการสอบคัดเลือกทุนดังกล่าวในการสัมมนาสมาคมนักเรียนไทยในกรุงไคโร ในพระบรมราชูปถัมภ์และนักเรียนอาหรับ ในต้นเดือนกุมภาพันธ์ทีผ่านมา ที่จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต พัฒนาการ (ผู้เขียน)

    บรรยากาศวันสอบเชิญคลิกที่นี่ 
  
ผลการสอบชิงทุน มหาวิทยาลัยอัลอัซฮัรประเทศอียิปต์ ในปีการศึกษา พ.ศ. 2555 / คศ.2012


ลำดับ ชื่อ – นามสกุล
ภาษาไทย - อังกฤษ - อาราบิก
           ชื่อโรงเรียน
     ภาษาไทย - อารบิก
1 นายปริญญา เปรมประภาศ
 MR.PARINYA  PREMPRAPHAS
 بيرن يا   بيرم برابات
อิสลามบำรุงศาสน์
إسلام بمرونج سات
2 นางสาวราตรี ดิเจริญ
 MISS.RATREE  DIJAROEN
 راتى   ديشارين
อิสลามบำรุงศาสน์
إسلام بمرونج سات
3 นายธีระพงษ์ ทับเปลี่ยน
 MR.TEERAPONG  TABPLEAN
 تيرأبونج   تابلين
อิสลามศรีวนา
إسلام سرى وانا
4 นายสราวุฒิ อาดัม
 MR.SARAWUT  ADAM
 سراووت   آدم
อิสลามศรีวนา
إسلام سرى وانا
5 นายวิฑูรย์ เพชรรอด
 MR.WITOON  PHETROD
 وئتون   بيتروت
อิสลามศรีวนา
إسلام سرى وانا
6 นายฮานีฟ สง่าบ้านโคก
 MR. HANIF  SA-NGABANKHAK
 حنيف  سغابان خوك
มัจลีซุดดีนีย์
المجلس الديني
7 นายวุฒิกร อังกาเรีย
 MR.WUTTIKON  ANGKARIA
 وودتئكون  عانجكاريا
มัจลีซุดดีนีย์
المجلس الديني
8 นายสิทธิพงศ์ มานโสม
 MR.SITTIPHONG  MANSOM
 سيت تيئبونج  مان سوم
มัจลีซุดดีนีย์
المجلس الديني
9 นายสมบัติ มลิวัลย์
 MR.SOMBAT  MALIWAN
 سوم بات  ملئ وان
ตอยยิบุ้ลอิสลาม
طيب الإسلام
10 นายวาริช ฝักบัว
 MR.VARICH  FAKBUA
 وارث  فاك بوا
ตอยยิบุ้ลอิสลาม
طيب الإسلام
11 นายชวลิต กาเด็ด
 MR. CHAWALIT  KADED
 شاوليت  كاديد
มิฟตาฮุ้ลอุลูมิดดีนียะห์
مفتاح العلوم الدينية
12 นายพงษ์สิทธิ์ โห๊ะกา
 MR. PONGSIT  HOKA
 فونج سيت  هوءكا
มิฟตาฮุ้ลอุลูมิดดีนียะห์
مفتاح العلوم الدينية
13 นายฟาฮมี มูซอ
 MR. FAHMEE  MUSOR
 فهمي  موسى
มิฟตาฮุ้ลอุลูมิดดีนียะห์
مفتاح العلوم الدينية
14 นางสาวนุสรา แดงโกเมน
 MISS. NUSSARA  DANGGOMEN
 نسالا  دانج كومين
อิมาร่อตุ๊ดดีน
عمارة الدين
15 นายพีระนัต ฟินดี้
 MR. PEERANAT  FINDIE
 فيرانات  فندي
อิมาร่อตุ๊ดดีน
عمارة الدين
16 นายอาณัติ เนตรทอง
 MR. ANAT  NETTHONG
 أنس  نيت تونج
ริดวานุ้นอิสลาม
رضوان الإسلام الدينى
17 นางสาวสุเชาวดี เขียวสวัสดิ์
 MISS. SUCHAOWADEE  KHIAOSAWAT
 سؤ شاوادي  كيو سواد
ศาสนวิทยา
العِلْمِي الديني
18 นายสักรินทร์ ก้อพิทักษ์
 MR. SAKARIN  KORPITAK
 ساكارين  كيوفيتاك
ศาสนวิทยา
العِلْمِي الديني
19 นายพิรุณ เทศทอง
 MR. PIRUN  TEDTON
 بئ رون  تيادتونج
ศาสนวิทยา
العِلْمِي الديني
20 นางสาวชนิดา กรเกษม
 MISS. CHANIDA  KORNKASEM
 شأندا  كونكاسيم
พัฒนาการหญิงศึกษา
نهضة الإسلام بانتا كان بينج سوكسا
21 นางสาวจุฑาภรณ์ สัจจวาสน์
 MISS. JUTAPORN  SAJJAWAS
 جؤ تابون  ساججاواس
พัฒนาการหญิงศึกษา
نهضة الإسلام بانتا كان بينج سوكسا
22 นางสาวจิตรา ตำราเรียง
 MISS. JITTRA  TAMRARIANG
 جيت ترا  تام رارينج
พัฒนาการหญิงศึกษา
نهضة الإسلام بانتا كان بينج سوكسا
23 นางสาวศศิธร กริสและ
 Miss Sasithorn Krislar
 سأسيتون  كريس لح
อัลกุรรออ์วิทยา
مدرسة القراء ويتيا

 รายชื่อนักเรียน จังหวัดนนทบุรี
ลำดับ ชื่อ – นามสกุล
ภาษาไทย - อังกฤษ - อาราบิก
ชื่อโรงเรียน
ภาษาไทย - อาราบิก
1 นายนาวี เรืองปราชญ์
MR.NAWEE RUEANGPRACH
ناوي  رونج براج
ท่าอิฐศึกษา
مدرسة تائيت سوكسا
2 นางสาวสุดธิดา มะหะหมัด
MISS.SUDTIDA MAHAMAD
سودتئدا  مأحأمد
อัซ-ซิกรอ
معهد الذكرى
3 นางสาววิริญ สาดและ
MISS.WIRIN SADLAEH
ويرين  سادليه
นูรุ้ลอิสลาม
مدرسة نورالإسلام
4 นางสาวรัสนาวัลย์ นิยม
MISS.RATSAWON NIYOM
راتساناوان  ني يوم
นูรุ้ลอิสลาม
مدرسة نورالإسلام
5 นายโชคชัย รื่นพิทักษ์
MR.CHOKCHAI RUENPHITHAK
شوك شاي  رون بيئ تاك
อิสลามสัมพันธ์
معهد الرابطى
6 นายวิทูรย์ มิลเจริญ
MR.WITOON MINCHAROEN
ويئ تون  ميل جارون
อิสลามสัมพันธ์
معهد الرابطى

 รายชื่อนักเรียน จังหวัดปัตตานี
ลำดับ ชื่อ – นามสกุล
ภาษาไทย - อังกฤษ - อาราบิก
ชื่อโรงเรียน
ภาษาไทย - อาราบิก
1 นายสุไลมาน  มะเสาะ
Mr.Sulaiman  Masoh
سليمان  مأسوء
มะอ์ฮัดดารุลมาอาเรฟ
معهد دارالمعارف
2 นายอิบรเฮม  กามา
Mr.Ibrohem  Kama
ابراهيم  كاما
ประสานวิทยา
معهدالثقافة الاسلامية
3 นายสุไลมาน  มะลี
Mr.Sulaiman  Malee
سليمان   مألي
ประสานวิทยา
معهدالثقافة الاسلامية
4 นายอัมรี  หะมีดง
Mr.Amree  Hamidong
عمري  هأميدونح
มูลนิธิสันตวิทยา
مدرسة دارالامان
5 น.ส.นัสเราะห์  อาแว
Miss Nasroh  A-wae
نصره  آوي
อัลอิสลามียะห์วิทยามูลนิธิ
معهدالجوهريةالاسلامية
6 นางสาวตอยีบะห์   แมเราะ
Miss Toyeebah  Maeroh
طيبة  ميرة
วัฒนธรรมอิสลาม
موءسسة الثقافة الاسلامية
7 นาย นะห์ดี  หม๊ะมูดอ
Mr.Nahdee  Mahmudo
نهدي  مهمودا
วัฒนธรรมอิสลาม
موءسسة الثقافة الاسلامية
8 นางสาวแวฮายีริน   สามะ
Miss Weehayerin  Sama
وي هاجرين  سامأ
วัฒนธรรมอิสลาม
موءسسة الثقافة الاسلامية
9 น.ส.ฮาลีมะ  ชายมัน
Miss Haleemah  Chaiman
حليمة  جيمان
มูฮัมมาดียะห์
معهد المحمدية
10 น.ส.ฮานีซ๊ะ  บาฮอ
Miss Haneesah  Bahor
هانيسة  باها
พีระยานาวินคลองหินวิทยา
معهد المصباح
11 น.ส.ต่วนมูนีเราะ กูบูละ
Miss Tuanmuneeroh  Kubulah
توان مونيرة  كوبولأ
พีระยานาวินคลองหินวิทยา
معهد المصباح
12 นางสาวคอลีเย๊าะ  ฮาแต
Miss Kholeeyoh  Hatae
خليجه  هاتي
อิสลามนิติวิทย์
معهد النموذج الاسلامى
  
รายชื่อนักเรียน จังหวัดยะลา
ลำดับ ชื่อ – นามสกุล
ภาษาไทย - อังกฤษ - อาราบิก
ชื่อโรงเรียน
ภาษาไทย - อาราบิก
1 นายไพรุส   สิระโก
MR.PIRUS  SEERAKO
فيروس  سيراكو
โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ
معهد البعثات الدينيه جالا
2 นางสาวนัจม๊ะ  หอแว
MISS.NAJMAH  HORWAE
نجمه   هوي
โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ
معهد البعثات الدينيه جالا
3 นางสาวอีมาน   กาซอ
MISS.EMAN  KASOR
ايمان    كاصا
โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ
معهد البعثات الدينيه جالا
4 นางสาวยุสรอ เละดูวี
MISS.YUSRA  LEHDUWEE
يسري   لىءدوي
โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ
معهد البعثات الدينيه جالا
5 นางสาวนุรฮายาตี  แวหะมะ
MISS.NUR-HAYATEE  WAEHAMA
نورحياتى     وي هامأ
โรงเรียนมะหัดอิสลามียะห์
معهد  الاسلامي
6 นางสาวรุสมานี  สะมะ
MISS.RUSMANEE  SAMA
رسماني  سأمأ
โรงเรียนดารุลฮูดาห์วิทยา
مدرسة دارالهدى ويتايا
7 นายยายา  มอลอ
MR.YAYA   MOLO
مولو يايأ
โรงเรียนดารุลฮูดาห์วิทยา
مدرسة دارالهدى ويتايا
8 นางสาวฮานาดียะห์  เจ๊ะหะ
MISS. HANADIYAH  CHEHA
حنادية   جئ هأ
โรงเรียนอิสลาฮูดดีนวิทยา
معهد اصلاح  الدين
9 นายอิมรอน  โดสนิ
MR.AMRON DOSANI
عمران    دوسانى
โรงเรียนอุดมศาสน์วิทยา
المدرسة الاصلاحية الدينية
10 นางสาวสุใบด๊ะ ยามา
MISS.SUBAIDAH YAMA
زبيدة    ياما
โรงเรียนอุดมศาสน์วิทยา
المدرسة الاصلاحية الدينية
11 นายฟาริ  สะมะแอ
MR.FARI  SAMAAE
فريد    سأمأعي
โรงเรียนศรีฟารีดาบารูวิทยา
المدرسة المحمدية
12 นายอามีน  โต๊ะหลง
MR.AMEEN  TOHLONG
أمين تؤلونج
โรงเรียนศรีฟารีดาบารูวิทยา
المدرسة المحمدية
13 นายอิมรอน  เจ๊ะอุเซ็ง
MR.IMRON  CHEUSENG
عمران    جئ أوسينج
โรงเรียนศรีฟารีดาบารูวิทยา
المدرسة المحمدية
14 นางสาวนูรียะ แดแก
MISS.NURIYAH DAEKAE
نورية    ديكي
โรงเรียนพัฒนาวิทยากร
معهد البعوث الاسلامية
15 นางสาวฮานาฟะห์  กอเล็ง
MISS. HANIFAH KOLENG
حنيفة   قالينج
โรงเรียนพัฒนาวิทยา
معهد نهعضة العلوم جالا
16 นางสาวอาซียะห์  อาระเปะ
MISS.ASEEYAH  ARAPAE
اسية   عارافئ
โรงเรียนพัฒนาวิทยา
معهد نهعضة العلوم جالا
17 นางสาวอามาล  สามะ
MISS.AMAL  SAMA
أمال    سامأ
โรงเรียนพัฒนาวิทยา
معهد نهعضة العلوم جالا

รายชื่อนักเรียน จังหวัดนราธิวาส
ลำดับ ชื่อ – นามสกุล
ภาษาไทย - อังกฤษ - อาราบิก
ชื่อโรงเรียน
ภาษาไทย - อาราบิก
1 นางสาวซากีละห์   ดาโอ๊ะ
Miss Sakilah  Daud
ساكلية     داود
นะห์ฎอตุลซูบาน
مدرسة نهضة الشبان
2 นางสาวอามีเน๊าะ   มะมิง
Miss Aminah   Maming
أمينة    مأمينج
นะห์ฎอตุลซูบาน
مدرسة نهضة الشبان
3 นาย นัสรูณ   มามะ
Mr. Nasrun   Mamat
نصرون    مامأ
ดารุสสาลาม
مدرسة دارالسلام
4 นาย ฮัซซัน   อาแวเต๊ะ
Mr. Hasan  A-waeteh
حسن    اواغ تيه
ดารุสสาลาม
مدرسة دارالسلام
5 นาย บาเซร์   นิมะ
Mr. Basir   Nima
بشير     نيء مأ
ดารุสสาลาม
مدرسة دارالسلام
6 นาย ฮาเตม   แลฮะ
Mr. Hatem  Laeha
حاتم    ليهأ
ดารุสสาลาม
مدرسة دارالسلام

รายชื่อนักเรียน จังหวัดสงขลา
ลำดับ ชื่อ – นามสกุล
ภาษาไทย - อังกฤษ - อาราบิก
ชื่อโรงเรียน
ภาษาไทย - อาราบิก
1 นางสาวซูฟียะห์ ยีริง
Miss SUFEEYAH YEERING
ﺼﻔﻴﺔ ﻴﻴﺭﻴنج
โรงเรียนรุ่งโรจน์วิทยา
مدرسة الفلاحية الإسلامية
2 นางสาวการีมะ ดอเลาะ
Miss Kareemah Dorloh
ﻜﺭﻴﻤﺔ ﺩﻭﻠﻪ
โรงเรียนตัสดีกียะห์
مدرسة تصديقية
3 นางสาวมาซีเตาะ สาแลแมง
Miss Maseetoh Salaemaeng
ﻤﺸﻴﻁﺔ ﺴﺎﻠﻴﻤﻴﻨﺦ
โรงเรียนตัสดีกียะห์
مدرسة تصديقية
4 นายมูฮัมหมัด วายะ
Mr.Muhammad Waya
ﻤﺤﻤﺩ  ﻭﺍﻴﺄ
โรงเรียนตัสดีกียะห์
مدرسة تصديقية
5 นายบาฮาเก็ม เลาะเฮ็ง
Mr. Bahakeem Lohheng
ﺒﺎﺤﻜﻴﻡ ﻠﻪﻫﻴﺦ
โรงเรียนศาสนบำรุง
مدرسة الصالحية الدينية
6 นางสาวอามีเนาะ เจ๊ะโดสามะ
Miss Ameenoh Chedosama
أﻤﻴﻨﻪ ﺠﻲﺩﻭﺴﺎﻤﺎ
โรงเรียนศาสนบำรุง
مدرسة الصالحية الدينية

รายชื่อนักเรียน จังหวัดสตูล
ลำดับ ชื่อ – นามสกุล
ภาษาไทย - อังกฤษ - อาราบิก
ชื่อโรงเรียน
ภาษาไทย - อาราบิก
1 นางสาวอาทิมา แหละตี
Miss Artima Lehtee
عاتئ ما  ليح تي
ดารุลอูลูม
مدرسة دارالعلوم
2 นางสาวคอดีย๊ะ วิมุติการ
Miss Khodiyah Vimutikan
خديجة  وئ موتيكان
ดารุลอูลูม
مدرسة دارالعلوم

 รายชื่อนักเรียน จังหวัดฉะเชิงเทรา
ลำดับ ชื่อ – นามสกุล
ภาษาไทย - อังกฤษ - อาราบิก
ชื่อโรงเรียน
ภาษาไทย - อาราบิก
1 นายอนุวัฒน์ วัง
Mr.Anuwat Wang
أنؤوات  وانج
มุสลิมวิทยาคาร
مدرسة دارالعلوم الإسلامية
2 นายสิทธิชัย พุ่มกลัด
Mr.Sittishai Pumklad
سيتيشاي  بومكاد
มุสลิมวิทยาคาร
مدرسة دارالعلوم الإسلامية
3 นายพิชัยยุทธ ยุคุณธร
Mr.Pichaiyut Yukhuntorn
بئشاي يوت  يؤخون تون
มัซล่าฮ่าตุ๊ดดีน
معهد مصلحة الدين
4 นายสุรสิทธิ์ อับดุลสมัด
Mr.Surasit Abdulsamad
سوراسيت  عبدالصمد
มัซล่าฮ่าตุ๊ดดีน
معهد مصلحة الدين
5 นางสาวพนิดา หนูวอ
Miss Panida Nuwor
بانئدا  نووا
มัซล่าฮ่าตุ๊ดดีน
معهد مصلحة الدين
6 นางสาวอรวรรณ เนตรทอง
Miss Orawan Netthong
عوروان  نيت تونخ
อัล-ฟาติฮะห์
مدرسة الفاتحة
7 นายแวยูโส๊ะ แวสุหลง
Mr.Waeyusoh Waesulong
وي يوسؤ  وي سولونخ
อัล-ฟาติฮะห์
مدرسة الفاتحة
8 นายมนูญ พงศ์เพ็ญชัย
Mr.Manoon Pongpenchai
مانون  بونخ بين شاي
อัล-ฟาติฮะห์
مدرسة الفاتحة