หลังจากปีแห่งการประกาศห้าม
ลัทธิบูชารูปปั้นและการเปลือยกายมาทำพิธีแสวงบุญที่วิหารกะบะฮ์
บ้านแห่งพระเจ้าในเมืองมักกะฮ์ได้ผ่านไป มันได้ส่งผลที่ตามมาอีกมากมายต่ออิสลาม
ผู้ที่เปลี่ยนศาสนาหันมานับถือศาสนาอิสลามทั้งที่เดินทางมาด้วยตนเองและส่งตัวแทนมาเข้าพบท่านนบี(ศาสนทูต)มูฮัมหมัด
(ขอพระเจ้าทรงประทานพรแด่ท่าน)เพื่อแสดงตัว

ท่านนบี ได้แต่งตั้งกษัตริย์และผู้นำต่างๆ
ของแคว้นและเผ่าต่างๆให้อยู่ในตำแหน่งเดิม อัลอัชอัษ บุตรของ กอยส์
ได้นำชนชั้นสูงที่เดินทางมาบนหลังม้า 80 คน
พวกเขามาเพื่อแสดงตัวต่อท่านนบีและเที่ยวตามหาท่านจนพบในมัสยิด
พวกเขาแต่งตัวโอ่อ่าสวยงามด้วยเสื้อคลุมผ้าไหมเป็นมันพริ้วไหว และแต่งหน้าแต่งตาตามแบบของพวกเขา
เมื่อท่านนบีเห็นพวกเขาในสภาพเช่นนั้น ท่านได้ถามว่า
“พวกท่านยังไม่ได้รับอิสลามอีกหรือ”
พวกเขาตอบว่า
“แน่นอนพวกเราได้รับอิสลามแล้ว”
ท่านนบีกล่าวว่า
“แล้วนั่นผ้าไหมอะไร อยู่รอบคอของท่านเล่า?”(หลักการอิสลาม ห้ามผู้ชายใส่ ผ้าไหมและทองคำ แต่ผู้หญิงใส่ได้)
ในทันใดนั้นพวกเขาก็ฉีกผ้าไหมออกเป็นชิ้นๆ
อัล อัชอัษ หัวหน้าคณะได้กล่าวขอโทษต่อท่านนบีว่า
“โอ้ท่านนบีของพระเจ้า พวกเรานั้น เป็นชนชั้นผู้ดี บุตรของผู้ดี
ท่านก็มาจากชนชั้นเหล่านั้นเช่นกัน ท่านคงจะเข้าใจนะว่า
เราต้องมีเอกลักษณ์ของเราเองบ้าง”
คนเหล่านี้เป็นชนชั้นปกครองแถบดินแดน หะเฏาะเราะฮ์เมาต์ เขตชายทะเล และเขตอื่นอีกหลายคน ท่านนบีได้ตั้งให้เขาอยู่ในตำแหน่งเดิมและและมอบหมายให้รวบรวมภาษีจากพลเมืองโดยรอบส่งมายังส่วนกลางของรัฐอิสลาม แม้พวกเขาจะลดรูปแบบของคนชั้นสูงลงเพื่อตามแบบฉบับอิสลาม แต่ความเย่อหยิ่งหลายอย่างในตัวของเขายังไม่หมดไป ท่านนบีได้ส่งมุอาวียะฮ์ บุตรของ อบู ซุฟยาน ซึ่งเป็นมุสลิมมาก่อนและเป็นญาติท่านนบี ให้เดินทางไปบ้านของ วาอิล อิบนุ ฮุจร์ หนึ่งในผู้ร่วมคณะเดินทางนี้ เพื่อชี้แนะหลักการอิสลามอันถูกต้อง วาอิล นั้นยังคงติดนิสัยที่แสดงความยิ่งใหญ่ที่ติดอยู่กับชนชั้นของตน เขาไม่ยอมให้ มุอาวียะฮ์ ขี่อูฐไปกับเขา และไม่ให้มุอาวียะฮ์ ยืมรองเท้าแตะของเขาใส่เพื่อป้องกันความร้อนจากพื้นทราย เพราะเขาคิดว่า เพียงแค่เงาอูฐที่เขาให้มูอาวียะฮ์อาศัยนั้นก็เป็นการเอื้อเฟื้อที่เพียงพอแล้ว แต่มุอาวียะฮ์ ก็อดทนต่อพฤติกรรมนี้ ทั้งๆที่เป็นการละเมิดกฎแห่งการเสมอภาคและภารดรภาพของอิสลาม เขานิ่งเฉยไว้ก็เพื่อช่วยให้ วาอิลและประชาชนของเขาได้รับศาสนาใหม่นี้เพื่อกาลข้างหน้า
ส่วนในแถบเยเมน(ยะมัน)เมืองทางตอนใต้ของอารเบียนั้น
เมืองนี้มีพื้นฐานจากศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวอยู่แล้ว คือศาสนายิว
และต่อมาเมื่อศาสนาคริสต์เติบโตขึ้นชาวเมืองนี้ก็รับศาสนาคริสต์เข้าไปด้วยเช่นกัน
เมื่อท่านนบีได้ประกาศศาสนาอิสลามโดยโครงสร้างของความรู้ของชาวยิวและคริสต์นั้นย่อมเข้าใจได้ว่า
ศาสนาอิสลามนั้นก็เป็นสายศาสนาแบบเดียวกับ ยิวและคริสต์ที่สืบทอดมาจาก
นบีอิบรอฮีม(อับราฮัม) ซึ่งมีนัยยะสำคัญคือการนับถือพระเจ้าองค์เดียว
เมื่อศาสนาอิสลามได้ขยายเข้ามาสู่เมืองนี้
และผู้คนส่วนหนึ่งได้หันมานับถือศาสนาอิสลาม ท่านนบีได้ส่งมุอาซให้ไปสอนจริยธรรมและกฎเกณฑ์ของศาสนาน้องใหม่ในแถบนี้แก่เมืองเยเมน
ท่านได้ย้ำกับมุอาซว่า
“จงทำอะไรๆ ให้เรียบง่ายอย่าได้สร้างอุปสรรคใดๆขึ้น
จงปรองดองอย่าทำตนให้แตกแยก ชาวคัมภีร์(หมายถึงยิวและคริสต์) จะถามท่านว่า “กุญแจเปิดทางไปสวรรค์คืออะไร” จงตอบเถิดว่า คือการเป็นพยานว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระเจ้าหนึ่งเดียวที่ไม่มีสิ่งใดเทียบเคียงและไม่มีภาคีใด”

มุอาซ ได้ถูกส่งไปพร้อมกับมุสลิม
แต่ดั้งเดิม และผู้เก็บภาษีอีกจำนวนหนึ่ง
เพื่อทำหน้าที่สั่งสอนประชาชนในเรื่องศาสนา การปกครอง
และการพิพากษาคดีโดยใช้กฏหมายจากพระเจ้าและนบี(ศาสนทูต)ของพระองค์
ดังนั้นประชาชนจากทางใต้จรดทางเหนือของอารเบียจึงถูกรวมเข้าเป็นรัฐภายใต้
กฎหมายเดียวกัน
แม้จะมีศาสนาต่างกัน แต่ก็มีการเสียภาษีแก่รัฐ
ที่ให้การคุ้มครองแก่ทุกเมืองในระบบการปกครองเดียวกัน การปล้นสะดมกันเอง
การปองร้ายต่อกันระหว่างเผ่าหรือหัวเมืองที่ครอบครองเขตแดนในยุคป่าเถื่อน
ก่อนหน้านี้ก็กลายเป็นการอยู่ร่วมกันโดยสันติ
ภายใต้ร่มเงาของระบบอิสลาม
จากเหตุการณ์ที่ฉันได้เล่าผ่านมาในหลายฉบับก่อนๆนั้น น้องไลลาจะเห็นได้ว่า รัฐอิสราเอลตามที่พระเจ้าสัญญานั้นกว่าจะสถาปนาขึ้นมาได้นั้นต้องใช้เวลา หลายชั่วคนหลายร้อยปีโดยผ่านสายเลือดอิสราเอลหลายศาสดาในเชื้อสายนี้โดยผ่าน คัมภีร์เป็นภาษาฮิบรูว์หลายเล่ม ตั้งแต่ นบียะกู๊บ(ยาโคบหรืออิสราเอล) ผ่านนบียูซุฟ(โยเซฟ) นบีมูซา(โมเสส) โยชูวา(ยูซะฮบุตรของนูน) นบีซัมวิล(ซามูเอล) กษัตริย์ฏอลูต(ซอล) และนบีดาวูด(กษัตริย์ดาวิด)จึงก่อตั้งได้ และก็ล่มสลายไป
ส่วนรัฐและระบบการปกครองของอิสลามนั้น
เกิดขึ้นในเวลาเพียง 20 ปีเท่านั้น
โดยผ่านนบีมูฮัมหมัดท่านเดียว
ในเชื้อสายอาหรับและผ่านคัมภีร์อัลกุรอานเล่มเดียวด้วยภาษาอาหรับ ที่อ้างอิงเรื่องราวต่างๆจากคัมภีร์ที่เป็นภาษาฮิบรูว์ของอิสราเอล
และอาราเมอิค(ซีเรียโบราณ)ของนบีอีซา(พระเยซู)ซึ่งเป็นภาษาพูดของท่าน
แม้ว่าการรวบรวมแผ่นดินนี้จะมีทั้งความราบรื่นและยากลำบาก
แต่ก็สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า ความสำเร็จของการสถาปนารัฐและระบบอิสลามนั้นสำเร็จลุล่วงทุกประการในยุคของท่านนั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น