โดย ชาญวิทยา ชัยกูล

สำนักข่าวอะลามี่:
ความรุนแรงที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
บอกให้รู้เป็นนัยว่าการกลับมาอีกครั้งของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดน
ภาคใต้ (ศอ.บต.) ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการแก้ปัญหา
ขณะที่ข้อเสนอให้รวมเอา จังหวัดปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส
เข้าด้วยกัน ภายใต้ชื่อนครปัตตานี ถูกนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกมายืนยันว่ารัฐบาลนี้ไม่สนับสนุน
ขณะที่แนวคิดภายใต้การขับเคลื่อนขององค์กรภาคประชาชนและนักวิชาการบางคนที่
ชูประเด็น “จังหวัดจัดการตนเอง” เริ่มมีความชัดเจนและน่าสนใจยิ่ง
"จังหวัดจัดการตนเอง" คือแนวคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองแบบ
"รวมศูนย์อำนาจ" อันเป็นต้นตอของความขัดแย้งทางการเมืองของขั้วอำนาจต่าง ๆ
ก่อให้เกิดการพัฒนาแบบกระจุกตัว สร้างความเลื่อมล้ำต่อการพัฒนาเมืองและชนบท
จึงต้องมอบอำนาจการบริหารจัดการพื้นที่ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
มากกว่าที่เป็นอยู่
โดยปรับลดบทบาทของราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาคลงไปให้มากที่สุด
และหันไปส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนาและการบริหาร
งานท้องถิ่นของตนเองได้อย่างมีอิสระ ในลักษณะที่คล้ายคลึงกับ กรุงเทพมหานคร
และ เมืองพัทยา
แนวคิดนี้ถูกจุดประกายขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ก็
ยังได้ให้สนใจต่อข้อเสนอเรื่องจังหวัดจัดการตนเองเป็นอย่างมาก
เพราะเห็นว่าสอดคล้องกับทิศทางการกระจายอำนาจและสามารถจะนำไปใช้เป็นกลไกใน
การแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สงบลงได้
โดยพุ่งเป้าไปที่ยังจังหวัดปัตตานี
เนื่องจากมีประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ที่เป็นของตนเองอย่างชัดเจน
โดยนอกจากจะต้องเข้าไปรับปรุงโครงสร้างบางส่วนของ ศอ.บต.แล้ว
อาจจะต้องยกฐานะจังหวัดปัตตานีให้เป็นจังหวัดจัดการตนเองในรูปแบบเมืองพิเศษ
ซึ่งประชาชนในพื้นที่มีอำนาจในการปกครองตนเองมากขึ้น
“ไม่มีใครแก้ปัญหาของท้องถิ่นได้ดีกว่าตัวของคนในท้องถิ่นเอง
และไม่มีการปกครองใดที่ดีและยิ่งใหญ่กว่าการปกครองตนเองของประชาชน
ผมเห็นด้วยกับการกระจายอำนาจ การสร้างมหานครในพื้นที่ๆ เหมาะสม
เพราะจะเป็นตัวชี้วัดให้เห็นว่าการปกครองของประเทศไทยเป็นการปกครองที่ไม่
ใช่การรวมศูนย์ แต่เป็นการปกครองแบบกระจายอำนาจ
ซึ่งข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปในเรื่องการกระจายอำนาจก็เป็นแนวทางที่ดีอีก
แนวทางหนึ่ง” มท.1 กล่าว

ด้าน ดร.วณี ปิ่นประทีป
รองผู้อำนวยการสำนักงานปฏิรูป กล่าวว่า
คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปกำลังรณรงค์ให้ผู้คนในจังหวัดต่างๆ
เตรียมการในการขับเคลื่อนการปฏิรูปในระดับจังหวัด
โดยการจัดสัมมนาระดมความคิดเห็นขึ้นในแต่ละภาคทั่วประเทศ
โดยแต่ละจังหวัดจะเลือกเรื่องประเด็นที่คิดว่าคนในจังหวัดนั้นๆ
เห็นตรงกันมากที่สุดมาดำเนินการ
พร้อมทั้งเสนอแนวทางแก้ไขปัญหากันเองโดยใช้ประชาสังคมเข้าขับเคลื่อน
หากมีปัญหาใดที่ยากเกินกว่าที่จะแก้ไขก็ให้ร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้อง
ถิ่น
หากประเด็นใดจำเป็นที่จะต้องไปแก้ไขกฎหมายก็ให้เสนอไปที่คณะกรรมการสมัชชา
ปฏิรูป เพื่อทำเป็นข้อเสนอจากสมัชชาส่งไปถึงรัฐบาล
“เวลานี้ได้มีบางกลุ่มเสนอให้จัดตั้งจังหวัดปัตตานี
เป็นเขตปกครองพิเศษ เพื่อแก้ปัญหาไฟใต้ ซึ่งในรายละเอียดที่เสนอนี้
เขาใช้คำว่า ปัตตานีมหานคร โดยจะรวมเอา 3 จังหวัด คือ ยะลา ปัตตานี
และนราธิวาส กับ 2 อำเภอของจังหวัดสงขลาเข้ามาด้วย
แต่แนวคิดนี้ในเชิงปฏิบัติ คิดว่ายังมีประเด็นปัญหาอยู่มาก
หากจะให้เป็นเมืองพิเศษอย่างกรุงเทพมหานครหรือพัทยา
ก็อาจจะเลือกที่จังหวัดใดจังหวัดหนึ่งมาทำก่อน เช่น จังหวัดปัตตานี ยะลา
หรือจังหวัดนราธิวาส อันนี้มีความเป็นไปได้
เพราะแต่ละจังหวัดมีพื้นฐานและอัตลักษณ์ที่แตกต่างกัน”
ดร.วณี
กล่าวอีกว่าแนวคิดนี้จะสอดคล้องกับข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปเรื่องการ
ปฏิรูปโครงสร้างอำนาจที่เสนอให้ปรับลดบทบาทของราชการส่วนภูมิภาคให้เป็นกลไก
เชิงวิชาการ เชิงประสานนโยบายและตรวจสอบติดตาม
โดยให้มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเหลือแค่ 2 ระดับ คือ
องค์การบริหารส่วนจังหวัดและเทศบาล ซึ่งเรื่องการปกครองพิเศษของ 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้
ควรจะต้องมีเวทีในการระดมความคิดเพื่อหารายละเอียดที่ชัดเจนมากกว่านี้
“ขณะนี้อาจารย์หมอประเวศ
ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปได้แต่งตั้งคณะกรรมการจัดสมัชชาปฏิรูปเฉพาะ
ประเด็น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นมาคณะหนึ่ง เพื่อรวบรวมว่า เรื่องของ 3
จังหวัดชายแดนภาตใต้มีคนเสนอทางเลือกเอาไว้กี่ทางเลือก แล้วเอาประเด็นต่างๆ
มาพิจารณาร่วมกันว่ามีข้อดี ข้อเสียอย่างไร และควรจะใช้รูปแบบไหน
แล้วจะต้องเอาข้อเสนอต่างๆ
เหล่านี้ไปรับฟังความคิดเห็นของภาคประชาชนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เขามีทางเลือกว่า
ถ้าเขาจะเลือกแบบนี้ต้องเสียอะไรและได้ประโยชน์อะไรบ้าง”
ทั้งนี้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้มี
คนเสียชีวิตไป 4,000 กว่าคน มีคนที่ต้องกำพร้า หญิงหม้าย
และคนบาดเจ็บอีกนับหมื่น โดยยังไม่รู้จะไปสิ้นสุดเมื่อไหร่ ?!
ดร.วณี กล่าวว่า
ในการประชุมสมัชชาปฏิรูปของพื้นที่จังหวัดภาคใต้ 14 จังหวัด
ซึ่งจะจัดขึ้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีในวันที่ 3-4 ตุลาคมนี้
ได้มีข้อตกลงร่วมกันแล้วว่า 3
จังหวัดชายแดนใต้จะต้องมาพูดคุยกันในเรื่องการแก้ไขปัญหาของจังหวัดชายแดน
ภาคใต้ โดยกำหนดไว้ 3 ประเด็น คือ 1. เรื่องยุติธรรมสมานฉันท์ 2.
เรื่องของจังหวัดจัดการตนเอง 3. เรื่องของความหลากหลายทางวัฒนธรรม
“ขณะนี้ชาวบ้านถูกจับคุมคุมขังทั้งตัวจริง ตัวปลอม
ปนกันไปหมด เราต้องคืนความยุติธรรมให้แก่ประชาชนเหล่านั้น
รวมถึงการเยียวยาผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว
เนื่องจากหลายคนหัวหน้าครอบครัวเสียชีวิต
ผู้อยู่เบื้องหลังต้องอยู่อย่างยากลำบาก
ฉะนั้นเรื่องของการเยียวยาเป็นเรื่องที่จำเป็น
ส่วนเรื่องจังหวัดจัดการตัวเองจะเป็นประเด็นที่ให้แต่ละจังหวัดต้องกลับไป
คิด จังหวัดปัตตานีจะตกลงเอาหรือไม่ ถ้าต้องไปรวมกับจังหวัดอื่นอีก 2
จังหวัด โดยมี อ.สะบ้าย้อย กับ อ.นาทวี จังหวัดสงขลามาร่วมด้วย
จังหวัดยะลาคุณอยากจะเลือกทิศทางนี้หรือไม่
เพราะยะลาก็มีอัตลักษณ์ของคุณเอง นราธิวาสก็เช่นเดียวกัน
ประเด็นเหล่านี้ประชาชนในพื้นที่ต้องหาทางออกร่วมกัน” ดร.วณี ปิ่นประทีปกล่าว
ด้าน นายถวิล ไพรสณฑ์
ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์
ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ออกมาสนับสนุนแนวคิดจังหวัดปกครองตนเอง
เพื่อแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
แต่นายถวิลเสนอว่ายังไม่จำเป็นที่จะต้องจัดตั้งเป็นเขตปกครองพิเศษที่รวมเอา
ยะลา นราธิวาสและปัตตานีเข้าด้วยกัน
เพียงแต่ไปแก้กฎหมายองค์การบริหารส่วนจังหวัด
ให้อบจ.มีอำนาจและมอบหมายงานในภารกิจต่างๆ ให้มากขึ้น
ตามสภาพปัญหาของพื้นที่จังหวัดนั้นๆ ในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับความมั่นคง
ซึ่งเป็นไปตามมิติของคณะกรรมการกระจายอำนาจที่ระบุว่าต้องถ่ายโอนและมอบ
ภารกิจ 425 ภารกิจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
“นอกจากการให้อำนาจกับอบจ.ใน 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้เพิ่มเติมแล้ว
ยังสามารถให้อำนาจกับอบจ.บางจังหวัดที่มีลักษณะพิเศษได้อีกด้วย
เพื่อให้เป็นจังหวัดจัดการตัวเอง
แต่ก็ต้องมาพิจารณาให้ชัดเจนว่าตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดพิเศษเหล่านี้จะ
ยกเลิกไปเลยเช่นเดียวกับกรุงเทพมหานครหรือไม่
ซึ่งจะต้องศึกษาให้รอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจ” นายถวิล ไพรสณฑ์ กล่าว
http://www.thealami.com
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น